– ๑๒ –
………………

ผมเดินเข้าห้องเถ้าแก่ตามลำพังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาเป็นคนงานที่นี่ เท้าเปล่าย่ำไปบนพรมหนานุ่ม ตวัดหางตามองผ่านรูปขยายใหญ่ของชายเตี้ยในชุดขาวล้วนประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเกริกเกียรติ เผชิญหน้ากับตู้กระจกใบใหญ่ซึ่งอัดแน่นไปด้วยโล่เกียรติยศ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเจ้านาย

หน้าตาผมคงเครียดเล็กน้อยด้วยความกังวล เดาไม่ถูกว่าเถ้าแก่เรียกเข้าพบด้วยสาเหตุใด อาจเพราะความผิดหลายประการที่เฮียคุงเก็บรายละเอียดสะสมเอาไว้ แล้ววันดีคืนดีแกก็กล่าวรายงานชนิดดอกทบต้น ความผิดประดามีหนักบ้างเบาบ้างคงถึงเวลาส่งขึ้นศาลเถ้าแก่เตี้ย ทั้งส่งจ้อยบุกรุกห้องพักคนงานหญิงยามวิกาล เท่านั้นยังไม่พอ ไม่กี่วันถัดมาผมก็ล้ำเข้าไปในแดนต้องห้าม

เสี่ยเตี้ยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยอาการสงบ สีหน้าเรียบเฉยราวกับผิวเทียนที่ถูกแช่แข็งมานานแรมปี ดวงตารูปสามเหลี่ยมใต้คิ้วหยักสั้นจ้องมองมายังผมเงียบๆ ค่อยๆ กระเถิบแผ่นหลังห่างเบาะพิง หยิบถ้วยกระเบื้องใบเล็กบรรจุน้ำสีแดงๆ มาวางลงตรงหน้าผม

“เหล้าดองยาจีน กินบำรุงร่างกาย” แกขยับมุมปากยิ้มเป็นครั้งแรก

คล้ายความห่วงใยที่เจ้านายมีต่อผู้รับใช้ และแฝงคำสั่งเด็ดขาดอยู่ในที ผมยกถ้วยจ่อปากและดื่มรวดเดียว วางลงแล้วหน้าตาผมยังคงเหยเกกับรสชาติที่แปลกประหลาด ทั้งเฝื่อนขมและบาดคอ

“นายทำงานดีมาก ถือเป็นคนสำคัญที่โรงงานจะขาดไม่ได้” ตารูปสามเหลี่ยมจ้องหน้าผมเขม็ง “งานหน้าเตาไม่มีอะไรต้องห่วง นายสองคนกับจ้อยคุมได้หมด แต่ว่าตอนนี้ คนเทเทียนกำลังไม่พอ อีกสองวันจะมีคนใหม่มาเพิ่ม ปัญหาใหญ่อยู่ตรงที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้งาน”

ผมรับฟังเงียบๆ ตาจ้องต่ำลงไปยังถ้วยเหล้าดองยาซึ่งว่างเปล่าลง ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้านายจ้าง ผมไม่เคยออกความเห็น ได้แต่รับฟังฝ่ายเดียว

“นายในฐานะคนเก่าที่สุด” เถ้าแก่เคาะนิ้วกับขอบโต๊ะ “เจ้าปัญญา เป็นผู้ใหญ่เกินวัย และเป็นคนที่เข้าใจกระบวนการทำเทียนไขได้ดีที่สุดในโรงงานตอนนี้ เถ้าแก่จึงอยากขอแรง ช่วยสอนช่วยดูแลคนงานใหม่ และช่วยเทเทียนไปจนกว่าจะวางมือได้”

ผมสัมผัสคำชมได้ในทุกประโยคคำพูดของนายจ้าง เงยหน้ายิ้มนิดหนึ่ง และผงกหัวรับคำ

“ครับ”

“มีปัญหาอะไรก็คอยประสานกับเฮียคุง อาจเหนื่อยหน่อยช่วงนี้ แต่ทางโรงงานก็จะตอบแทนและชดเชยให้ ช่วยๆ กัน โรงงานไปได้สวย คนงานก็ไปได้ดี แม่หมูอิ่ม ลูกหมูก็อ้วนพี”

ผมสะดุ้งเล็กน้อยกับคำพูดที่ว่า …มีปัญหาอะไรก็ประสานกับเฮียคุง ในจินตภาพอันหวาดระแวงล่วงหน้าของผม สำหรับเฮียคุงแล้ว มันคงเป็นการประสานงาเสียมากกว่า

ผมออกจากห้องเถ้าแก่สวนทางกับคุณพิชัย ช่างออกแบบเทียนร่างสูงโย่งพอๆ กับผมส่งยิ้มอ่อนโยน เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนผ่านหายเข้าไปในห้องที่ประตูปิดหับลง

นอกจากเถ้าแก่แล้ว คุณพิชัยเป็นอีกคนที่เอ่ยชมผมบ่อยๆ ว่าเป็นคนหนุ่มที่ฉลาด เรียนรู้อะไรได้เร็ว และจำแม่น ผสมสีเทียนวันเกิดไม่เคยผิดพลาด และไม่เคยทำให้เทียนวันเกิดล็อตเดียวกันถูกทำลายทิ้งกลับสู่ความเป็นขี้ผึ้งรอหลอมละลายใหม่ ด้วยเหตุที่มันเป็นปล้องที่ต่างสี ท่อนล่างสีเข้มแต่ส่วนบนกลับอ่อนจาง

คุณพิชัยเคยเอ่ยชมผมต่อหน้าเถ้าแก่ “คนนี้ให้สีแม่นมาก ไม่เคยผิดพลาดสักครั้งเดียว เฮียเคี้ยงที่อยู่มาสิบกว่าปียังไม่แม่นขนาดนี้”

ผมเดินมาถึงหน้าเตาพบว่าจ้อยนั่งหลับพิงกำแพง คนงานใหม่สองรายกวักมือเรียก ปัญหาบางอย่างที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวเอง และยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้

พวกเขาพยายามหมุนแท่นเทียนให้เลื่อนจากเบ้าพิมพ์แต่มันติดแน่น ไม่ยอมขยับเขยื้อน โถมออกแรงเต็มพิกัดแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะ

“อากาศร้อน” ผมบอกพวกเขา “เทียนแข็งตัวช้า ถ้าหมุนไม่ขึ้นไม่ต้องไปขืน”

หน้าร้อนเทียนออกช้า บ้างก็ติดเบ้าพิมพ์นานเหมือนรถยนต์บนท้องถนนในกรุงเทพฯ ผมคนเดียวที่แก้ปัญหานี้ได้ แต่ไม่ใช่ไปช่วยออกแรงข่มขืนเบ้าพิมพ์ ขี้ผึ้งแต่ละกระสอบที่จะโยนลงสู่กระทะ ต้องเลือกชนิดพิเศษสำหรับหน้าร้อน

ผละจากแท่นเทียน ผมเดินไปเตะหน้าแข้งจ้อยเบาๆ

รอจนเขาสะดุ้งตื่น ผมก้มหน้าพูดบอกความจริงกับเขา

“เสี่ยเตี้ยอยู่ในห้อง เดี๋ยวแกก็จะเดินออกมาตรวจงาน”

 

เด็กหนุ่มอายุระหว่างสิบเก้าถึงยี่สิบต้นๆ สี่คนเดินตามเฮียคุงไปที่ฐานเทเทียน คนงานที่อยู่มาก่อนสองคนยืนเก้กัง เราเพิ่งจบมื้อกลางวันกันไม่นาน จ้อยเติมท่อนฟืนเข้าไปในปากเตา ผมก้มเงยอยู่กับกระสอบขี้ผึ้งซึ่งจัดเตรียมไว้ ผ่านไปครู่ใหญ่ เฮียคุงเดินนำหน้าคนงานใหม่ทั้งสี่ตรงเข้ามา

“ไชยา…” เฮียคุงเรียกชื่อเต็มๆ ของผมพร้อมผายมือไปยังเด็กหนุ่มทั้งสี่ “เถ้าแก่สั่งมาให้ช่วยสอนคนงานใหม่เทเทียน”

ผมแย้งในใจแต่ไม่ได้พูดออกมาว่ามันเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลโรงงานไม่ใช่หรือ ผมเป็นคนคุมเตา ไม่มีหน้าที่เป็นครูสอนข้ามแผนก และผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามีความสามารถพอจะสอนคนอื่น แกตีสีหน้าเรียบเฉย ไม่รอฟังคำตอบ โยนคนงานใหม่ทั้งสี่ให้ผมรับภาระแล้วก็ผันกายเดินจากไป

ฟืนในเตาเผาไหม้ตัวมันเองทุกนาที ความร้อนที่ทำให้ขี้ผึ้งในกระทะหลอมละลาย ถ่ายโอนไปยังถังแยก ตักสีลงไปทีละสองสามช้อน หากไม่ถูกผ่องถ่ายไปยังแท่นเทเทียน แล้วเปลี่ยนเป็นเทียนไขรูปลักษณ์สวยงามและสมบูรณ์พร้อมก่อนลำเลียงสู่แท่นตัดของเฮียคัง ขี้ผึ้งหลอมละลายก็ยังถูกขังลืมในกระทะต้ม ผมกับจ้อยต้องนั่งเฝ้าไปตลอดทั้งคืน

สอนคนงานใหม่เทเทียนไม่ใช่หน้าที่ของผมก็จริง แต่มันเป็นเสมือนภาระที่ถูกบังคับกลายๆ ขี้ผึ้งที่ถูกหลอมไม่แปรรูปเป็นเทียนไข ภารกิจไม่ประสบความสำเร็จ

ผมต้องยกกระป๋องขึ้นเทด้วยตัวเอง ตรวจดูเข็มเวลาให้แน่ใจก่อนหมุนเทียนไขออกจากเบ้าหลอม รวมทั้งใช้มีดตัดด้ายให้ขาดออกจากกันก่อนนำเทียนไขที่แข็งได้ที่ลงจากฐาน ทำให้เป็นตัวอย่างแล้วค่อยให้พวกเขาลองทำกับมือ

คนใหม่ที่ยังไม่เข้าใจงาน ผิดพลาดได้ง่าย ทั้งจากความไม่ชำนาญ และบางทีก็ทำไปแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผมต้องคอยกำชับและกำกับ

งานหน้าเตาก็ไม่อาจปล่อยปละละเลย จ้อยเกิดมาเพื่อเป็นลูกมือของคนอื่น ไม่ยอมเรียนรู้อะไรเพิ่มนอกจากเติมฟืน ตักน้ำเทียนจากกระทะใส่กระป๋อง แล้วนำไปเทลงถังแยกตามหมายเลขที่ผมเขียนกำกับไว้ ผมเคยให้เขาลองหัดใส่สี เขียนใส่สมุดพกไว้เป็นอย่างดี ช้อนที่ใช้ตักสีก็ขนาดเดียวกัน ไม่ว่าจะเติมลงสามหรือสี่ช้อน ถ้าคนเก็บรายละเอียดได้เพียงเล็กน้อยก็ยากจะผิดพลาด สุดท้ายเทียนสีผึ้งฝีมือของจ้อยกลายเป็นสองปล้อง

ผมวิ่งวนไปมาทั้งฐานเทเทียนและหน้าเตา หน้าตาบึ้งตึงด้วยความเครียดและเหนื่อย เหงื่อท่วมตัวแทบไม่เคยหมาดแห้ง

เลิกงานหัวถึงหมอนเป็นหลับ หนังสือที่อ่านค้างไว้ บทเพลงภาษาอังกฤษที่แปลไม่จบคาอยู่ในหน้าสมุด วิทยุเทปหยุดเปล่งเสียง สุนทรีย์แห่งชีวิตของผมหายไป ดึกคืนหนึ่งผมสะดุ้งตื่นกับความฝัน กลิ่นแป้งจากเรือนแก้มของสาวบางปลาม้ากรุ่นติดปลายจมูก ผมฝันว่าได้จับมือและสวมกอดเธอไว้ในวงแขน สะดุ้งตื่นขณะกำลังจะได้หอมแก้มเธอฟอดใหญ่

ผมลุกนั่ง พร้อมมือที่พันผ้าขาวของไหมน้อยผุดขึ้นมาในดวงตา

 

บ่ายวันที่เถ้าแก่มาตรวจงานในเวลาอันสั้น ทุกอย่างเรียบร้อยและเป็นไปด้วยดี คนงานสองนายที่อยู่มานานจนได้รับเงินเดือนเข้าใจกระบวนการเทเทียนเหมือนนักเรียนที่สอบผ่านด้วยคะแนนดีเยี่ยม อีกสี่รายที่เพิ่งเข้ามาใหม่พวกเขาผ่านสัปดาห์แรกไปพร้อมการเรียนรู้ ครูผู้สอนที่เหน็ดเหนื่อยพาตัวเองกลับคืนสู่หน้าเตาอันร้อนอบอ้าว ยืนเป็นเสาธงขณะตีสีหน้าเรียบเฉยกับคำชมของนายจ้าง

“ทำได้ดีมาก” เถ้าแก่จับไหล่ผมและวางมือทาบไว้ “สอนคนอื่นทำงานแทนได้แล้วก็เหนื่อยน้อยลง เดือนหน้าถ้างานไม่เร่ง เถ้าแก่จะให้หยุดทุกวันอาทิตย์ หยุดกันเดือนละสี่วันไปเลย”

ผมกลายเป็นหัวหน้าในคำเรียกขานของคนงานแผนกเทเทียนทั้งหก พวกเขาเรียกซ้ำๆ โดยไม่มีใครแต่งตั้ง

ทุกครั้งที่เผชิญปัญหาที่แก้ไม่ตก พวกเขาจะส่งตัวแทนมาเรียกผมถึงหน้าเตา “หัวหน้า ช่วยมาดูตรงนี้หน่อย”

บางครั้งก็เป็นปัญหาของฤดูกาล อากาศที่ร้อนทำให้เทียนติดหรือที่เรียกกันติดปากว่าเทียนไม่ออก แต่บางครั้งพวกเขาก็ควบคุมกระป๋องเทียนที่ยกขึ้นเทไม่ดี ถั่งโถมลงไปเป็นจำนวนมาก น้ำเทียนผสมสีจึงล้นเบ้าพิมพ์

ทุกครั้งที่เฮียคุงยืนคุมอยู่ใกล้ๆ หรือแวะมาดูงานตามประสาคนที่พยายามยกระดับตัวเองขึ้นเป็นผู้จัดการทั่วไป แกจึงเป็นตัวแทนสายตาของเถ้าแก่ ได้ยินคำเรียกขานจากความเข้าใจผิดกระแทกหูบ่อยเข้า จมูกงุ้มๆ ของแกก็พลันเบ่งบานพะเยิบๆ ตาชั้นเดียวเรียวรีผุดแววแข็งกร้าวขึ้นมาในบันดล

“ที่นี่ไม่มีใครเป็นหัวหน้าใครหรอก” แกตวาด

ก่อนหกโมงเย็น ผมกับจ้อยถ่ายน้ำเทียนจากกระทะสุดท้ายสู่ถังแยก ตักน้ำเปล่าใส่กระทะเลี้ยงความร้อนเอาไว้ ไม่ต้มอะไรเพิ่ม ถึงกระนั้นถังแยกทั้งหกยังเหลือเทียนกว่าครึ่ง คนงานเทเทียนรุ่นเก่าที่ลาออกไป พวกเขาใช้เวลางัดข้อกับเถ้าแก่เป็นเวลานานกว่าจะได้เลิกตามเวลา ปล่อยให้เทียนในถังแข็งตัว แล้วถูกหลอมละลายอีกครั้งเมื่อถูกความร้อนจากฟืนในเตาของรุ่งเช้าวันถัดมา

สำหรับคนงานใหม่ที่ไม่มีอำนาจต่อรอง เฮียคุงเข้ามาสั่งการ ทำล่วงเวลาโดยไม่มีค่าจ้างเพิ่มไปจนกระทั่งเทียนในถังแยกพร่องลงจนเกือบถึงก้น

แกพยายามเอาใจคนงานด้วยการควักทุนตัวเองซื้อของกินมาเลี้ยง ทั้งขนม กาแฟ บะหมี่สำเร็จรูป ส่วนใหญ่เป็นช่วงเวลาที่ผมกับจ้อยผันร่างจากหน้าเตาไปแล้ว

จากความเคารพในฐานะรุ่นพี่สอนงาน ผมฝึกหนุ่มร่างเล็กอายุน้อยกว่ารายหนึ่งที่หัวไวใช้ได้ แค่เพียงสองวันเขาก็เรียนรู้และเข้าใจว่าควรเติมฟืนเลี้ยงความร้อนไว้ประมาณเท่าใด และก่อนเลิกงาน ท่อนฟืนที่ยังไม่กลายเป็นถ่านแดงๆ พรมน้ำเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็ดับไฟได้หมด

คืนที่ผมแวะร้านของชำ หิ้วขนมและบะหมี่สำเร็จรูปเข้ามาในโรงงาน ฐานเทเทียนเปล่าร้างไปแล้ว ความเงียบโรยตัวลงใต้แสงไฟที่ยังเปิดสว่าง คนงานหญิงกำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน เฮียคุงยืนถือไฟฉายเฝ้าปากประตูทางออกรอตรวจกระเป๋า ผมดักรอไหมน้อยหน้าห้องคุณพิชัย

ร่างเล็กๆ เคลื่อนมากับฝีเท้าซึ่งแทบไร้สำเนียง ค้อมร่างลงเล็กน้อยคล้ายจะเหนื่อยอ่อน ทันทีที่เห็นผมยืนอยู่ใต้เงามืด เธอขยับเท้าเร็วขึ้น ฉายยิ้มขึ้นที่ใบหน้า

“เหนื่อยไหม” ผมถามเบาเหมือนกระซิบ

“ไม่เหนื่อยเลย” เธอว่า “อยากมีเงินส่งไปให้แม่เยอะๆ”

ผมยื่นถุงบะหมี่และขนมส่งให้ “ซื้อมาฝาก เผื่อหิว”

เธอรับไว้ ขยับเข้ามาคว้าแขนผมไปกอด “อยากไปดูหนังด้วยกันอีก”

ผ้าขาวถูกปลดจากมือซ้ายของเธอไปแล้ว รอยกรรไกรแปลงร่างเป็นแผลเป็นเล็กๆ ผมคว้ามือเธอกุมไว้

“รีบขึ้นห้องพัก” ผมบอก “เดี๋ยวพี่แดงจะดุเอา”

ผมผ่านประตูโรงงานออกสู่ภายนอก เฮียคุงยังตรวจกระเป๋าคนงาน หน้าถนนมีมอเตอร์ไซค์ของญาติคนงานมาจอดรถรับสองสามคัน

ดวงดาวบนผืนฟ้าเดือนมีนาคมสุกสกาว ผมเดินเลียบป่าหญ้าในความมืดริมบึง หยุดเท้าลงก่อนถึงหน้าประตูบ้านพัก แหงนมองแสงไฟบนตึกชั้นสาม พลันหน้าต่างบานหนึ่งเปิดออก ไหมน้อยโผล่หน้าและมองลงมา

ในแสงไฟและประกายดาว เธอยิ้มร่าเริงทั้งดวงตาและริมฝีปาก

***************************


ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่