– ๑๒ –
………………

ส้มตำบนผืนเสื่อในสวนหย่อมข้างม้าหินที่ผมเคยอาศัยนอนตากยุงรสเผ็ดจัดจ้าน ไหมน้อยแก้มแดงระเรื่อ ร่มเงาแห่งเมืองขับผิวของเธอขาวผ่อง ฝ้าแดดบนสองข้างแก้มเหมือนไม่เคยปรากฏ ริมฝีปากแดงด้วยเลือดฝาดและความเผ็ดของพริก จมูกรั้นน้อยๆ ของเธอพลอยแดงก่ำไปด้วย

เรากินส้มตำ จ้องมองสายน้ำไหล และก็จ้องตากันยิ้ม ๆ

บทหนังรักบางเรื่องที่ผมเคยดูผุดขึ้นมาในห้วงคะนึง …กระจกที่ส่องหน้าหญิงสาวได้งามที่สุด ไม่ต้องไปหาจากที่อื่นใด หากอยู่ในดวงตาของชายหนุ่มที่รักเธออย่างสุดหัวใจ

ความงามสง่าและหล่อเหลาเอาการของชายหนุ่มไม่ต่างไปจากนั้น โดยเฉพาะดวงตาของไหมน้อยซึ่งคอยตามติดผมเท่าที่เธอจะสามารถทำได้

เราออกจากโรงงานตั้งแต่เช้า อากาศค่อนข้างเย็น ผมสวมหมวกไหมพรมและผ้าพันคอที่ไหมน้อยถักให้ เธอเอนร่างพิงไหล่ผมขณะนั่งอยู่บนเบาะรถเมล์ จนกระทั่งถึงลานหญ้าในส่วนหย่อมริมน้ำ เรานั่งลงข้างกันบนเสื่อ

เรากินส้มตำและข้าวเหนียวในก่องเล็กๆ ไหมน้อยปั้นข้าวเหนียวยกขึ้นสูดดม

“ข้าวเก่าไม่หอม” เธอว่า “ถ้าอยู่บ้านตอนนี้ ได้กินข้าวใหม่”

ลูกชาวนาอย่างผมผ่านประสบการณ์แบบนี้มาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ผมไม่รู้สึกผูกพันกับท้องทุ่ง ปลายทางที่ผมมุ่งไปไม่ใช่ทุ่งข้าวหรือชนบท ถึงตอนนี้ก็ไม่ใช่หน้าเตาโรงงานเทียนไข แต่ผมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า ท้ายที่สุดแล้วชีวิตของผมจะไปยืนอยู่ตรงจุดไหน

“แม่นึ่งข้าวเหนียวไม่แฉะแบบนี้” ไหมน้อยพูด “แม่ทำกับข้าวอร่อย แต่หน้าแล้งของกินหายาก แม่ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำกับข้าว”

ผมวาดภาพตามคำบอกเล่าของไหมน้อย บ้านไม้ยกพื้นสูงซึ่งเหมือนกระท่อมหลังเล็กท้ายหมู่บ้าน เป็นทางออกสู่ทุ่งนากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แต่นั่นคือที่นาของคนอื่นๆ ที่ดินรายรอบบ้านสิบกว่าไร่ของครอบครัวเธอใช้ปลูกหม่อน

นอกจากรับจ้างดำนา เกี่ยวข้าว และขนข้าว เลี้ยงไหมเหมือนอาชีพหลักของครอบครัวเล็กๆ สามชีวิต ไหมน้อยคุ้นเคยกระด้งใบใหญ่ และกี่ทอผ้ามาตั้งแต่เล็ก รวมทั้งต้นหม่อนรอบบ้านที่เธอเคยปลิดผลสุกของมันใส่ปากเคี้ยว และเด็ดใบใส่ตะกร้านำไปให้แม่หว่านโปรยลงไปให้หนอนไหมตัวอวบๆ ในกระด้งกินเป็นอาหาร

ชื่อไหมน้อยมาจากเจ้าหนอนตัวเล็กๆ ที่กัดกินใบหม่อนในกระด้ง ตัวไหมนับร้อยที่จะแปรร่างเป็นดักแด้ แหล่งกำเนิดแห่งเส้นใยแวววาว ก่อนถูกนำไปย้อมสีและถักทอเป็นผืนผ้า

หลังปีที่พ่อจากไป ไหมน้อยขับเกวียนได้แล้ว แต่แม่ไม่ไว้ใจให้เธอออกรับจ้างขนข้าวตามลำพัง วัวเทียมเกวียนสองตัวค่อนข้างเกเรในบ้างครั้ง แม่บอก… ต้องรู้ใจมัน รู้วิธีบังคับ และแข็งแรงกว่ามัน

ผมเอ่ยถาม “ทำไมเข้ามากรุงเทพฯ”

เอ่ยออกไปแล้วผมจึงรู้ว่าไม่ควรถาม ไม่ใช่เป็นเพราะไฟแสงสีในเมืองหลวงหว่านมนต์เสน่ห์เย้ายวนไปทั่วทุกภูมิภาค ฉุดกระชากคนหนุ่มสาวจากดินแดนที่ราบสูงสู่ถนนแห่งการแสวงหาอันไร้จุดหมาย ทำไมพวกเขาต้องเข้ากรุงเทพฯ ทุกคนอาจมีคำตอบในใจ แต่บางคนก็หลีกเลี่ยงที่จะตั้งคำถามกับตัวเอง ไม่แปลกที่ไหมน้อยจะมองเพื่อนๆ ร่วมวัยหลั่งไหลสู่เมืองที่พวกเขาไม่เคยรู้จักและไม่อาจคาดเดาชะตากรรม

“แม่อยากได้เงินมาซ่อมกี่ ซื้อกระด้ง ถ้าหาเงินได้มาก ไหมก็อยากให้แม่ซื้อควายไว้รับจ้างไถนาสักตัว น้องชายไหมโตแล้ว”

เธอพูดถึงจุดหมาย ผมไม่อยากใช้คำว่าความฝัน ไม่ใช่เพราะดูหรูหรา สวยงาม หรือศักดิ์ของคำสูงเกินกว่าจะนำไปใช้กับคนบ้านนอก หากเพราะสิ่งที่ไหมน้อยอยากได้ ดูเล็กกระจ้อย ไม่ได้ราคาแพงมากมายสำหรับคนเมืองร่ำรวย

เถ้าแก่โรงเทียนหรือที่เราเรียกแกลับหลังว่าเสี่ยเตี้ย หากแกอยากได้ควายไว้ไถนาสักยี่สิบหรือร้อยตัวก็เป็นไปได้ทันที ง่ายกว่าใบประกาศจากองค์กรการกุศลหรือเครื่องราชฯ ชั้นต่างๆ ที่แกแลกมาด้วยจำนวนเงินมหาศาล

โรงเทียนเป็นโรงงานแรกในชีวิตที่เธอสัมผัส และทนอยู่กับค่าแรงเดือนละห้าร้อยบาทที่ไม่ขยับขึ้น จนกระทั่งถึงวันตรุษจีน เสียเตี้ยปรับขึ้นให้เธออีกหนึ่งร้อยบาท แถมด้วยอั่งเปาที่ข้างในสอดธนบัตรใบละยี่สิบไว้เพียงสิบใบ

เงินเดือนขึ้นเป็นหกร้อยบาท ถ้าเธอไม่กลับบ้านทำงานต่อไปอีกสิบเดือน เงินเก็บสะสมน่าจะพอซื้อลูกควายน้อยๆ ได้สักตัวหนึ่ง

“ซื้อลูกควาย” ผมแนะ “กว่าน้องชายจะโตออกรับจ้างไถนาได้ ควายน้อยที่ซื้อไว้ก็โตทันกันพอดี”

ไหมน้อยยิ้มขบขัน “แม่อยากมีเงินซื้อนาด้วย ถ้าเรามีทั้งที่ดินปลูกข้าว ปลูกหม่อน เราก็จะมีโรงไหมเป็นของตัวเอง”

“แม่ก็จะเป็นเถ้าแก่ มีลูกจ้างช่วยงาน” ผมต่อให้

ไหมน้อยคว้ามือผมไปกุมไว้ “ถ้าพี่ไปอยู่ด้วย พี่ก็จะได้เป็นผู้จัดการใหญ่”

ผมหัวเราะ “ต้มเหล้าเถื่อนขายน่าจะรวยเร็ว”

มือน้อยๆ อีกข้างของเอื้อมมาปิดปากผมไว้ “อย่าพูดเรื่องไม่ดี”

ผมเงียบ บีบมือเธอเบาๆ เราเงียบไปพักหนึ่ง ไหมน้อยจ้องหน้าผมตรงๆ

“พี่ตัวคนเดียว ไปอยู่ที่นั่น พี่จะได้มีแม่ มีน้อง และมีครอบครัว”

ผมจับจ้องสวะกอเล็กๆ ที่ลอยไหหลไปตามแรงน้ำเชี่ยว เงียบนิ่งกับภาพที่วาดขึ้นในภวังค์ ท้องทุ่ง โรงไหม วัวคู่งาม เกวียนชรา แม่ น้องชาย ครอบครัว และลูกๆ  ไม่ใช่ภาพที่ผมเคยฝันถึง ผมอยากเป็นคนเมือง ทำงานในห้องแอร์ แต่งตัวสะอาดสะอ้าน ผูกเน็คไท หวีผมเรียบแปล้ รายล้อมด้วยสาวออฟฟิศแก้มเปล่งแต่งตัวสวยสง่า

เธอพูดขึ้นอีก “พี่ไม่ต้องตื่นเช้า อยากเปิดเพลงเสียงดังยังไงก็ได้”

ผมหัวเราะเมื่อนึกถึงเฮียคุง พลางพูดว่า “หาพิณมาหัด ดีดแล้วร้องเพลงกล่อมทุ่ง”

ไหมน้อยเอนร่างมาเบียดชิด ผมกุมมือเธอแน่นขึ้น

 

หนังวัยรุ่นของคนเมืองออกสู่โรงชั้นสองให้ตีตั๋วเข้าชม เพลงชูวั้บๆ ที่เคยติดปากและคุ้นหูเพื่อนๆ ในโรงงานต้นธารที่มาจากหนังเรื่องนี้เอง ควบหนังจีนแนวชีวิตเศร้าสะเทือนใจ ออกจากโรงหนังไหมน้อยเลือกซื้อเสื้อยืดเพ้นท์รูปดาราจากหนังเรื่องดัง ทั้งรูปเดียวของไพโรจน์ สังวริบุตร ลลนา สุลาวัลย์ และรูปที่คนทั้งสองกำลังเหวี่ยงสะโพกปะทะกันเธอเลือกเสื้อต่างสีขนาดเล็กที่สุด

“จะส่งไปให้น้องชาย” เธอบอก “แม่คงไม่กล้าใส่”

เราเดินไปตามริมถนนเลียบตึกสูงและห้างสรรพสินค้าใหญ่โต ริมถนนร้านขายกางเกงยีนส์เปิดเพลงฝรั่งเสียงดัง นี่คือเมือง นิวาสถานและแผ่นดินธุรกิจของคนรวย ที่ซึ่งเป็นเสมือนแม่เหล็กแฝงพลังมหาศาล รัศมีแม่เหล็กแผ่กว้างและไกลไปถึงเหนือและใต้ ดึงดูดลูกหลานคนบ้านนอกพลัดพรากบ้านเกิด แล้วกระจายไปตามโรงงานห้องแถว โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ห้างร้าน ภัตตาคาร อาจรวมไปถึงโรงน้ำชา อาบอบนวด และสถานที่ซึ่งผมไม่เคยรู้จัก อีกส่วนหนึ่งก็จรจัดอยู่ตามศาลาที่พักผู้โดยสารและสถานีขนส่ง

บางครั้งผมก้มหน้านิ่งเงียบยามเห็นลูกหลานคนรวยแต่งกายดีเดินผ่านหน้าไป คำถามมากมายผุดขึ้นในใจ ความรวยมาจากไหน และต้นธารความยากจนเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงต้องมีนายจ้าง แล้วคนอย่างผมเกิดมาเพื่อเป็นลูกจ้างของคนอื่นตลอดชีวิตหรืออย่างไร

บรรยากาศวันหยุดช่วงตรุษจีน ถนนดูโล่ง ขณะบนทางเท้าเนื่องแน่นไปด้วยผู้คน หนุ่มสาวจากโรงงานแม้แต่งตัวสวย สวมใส่กางเกงยีนส์ในฝัน และเสื้อยืดสีสด  สาวๆ ผัดหน้าประแป้งยิ้มและหัวเราะเสียงดัง ถึงกระนั้นผมแววตาของคนพรากบ้านยังแฝงความว้าเหว่ให้สัมผัส รวมทั้งกลิ่นอายโรงงานที่พวกเขาและเธอหลั่งสายเหงื่อหยาดลงในแต่ละวัน

ไหมน้อยเกี่ยวแขนผมเดินไปตามถนนรอบวงเวียนห้าแยก เธอยิ้มแย้มแจ่มใส ในดวงตาไม่มีคำถามกับภาพที่เห็น ผมเข้าใจดี สำหรับไหมน้อย โลกของเธอกลมเหมือนผลส้มตามหลักวิทยาศาสตร์ เธอเดินทางมาจากที่ไหน สุดท้ายเธอก็จะไปถึงเป้าหมาย ณ จุดที่เธอจากมา

ผมเคยคิดจะเข้ามหาวิทยาลัย ฝันถึงที่ทำงานหรู เงินเดือนสูงๆ ในอนาคต เดินฝ่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงเพื่อเขย่งเท้าขึ้นไปสูงเทียมเท่ากับลูกผู้ดีมีเงิน หรือถ้าจะให้ดี ผมควรกระโดดข้ามไปสู่จุดที่สูงยิ่งกว่านั้น โลกแบนๆ ของผมจึงต่างไปจากหลักวิทยาศาสตร์ มันแบนราบ ยิ่งเดินไปข้างหน้าก็ยิ่งห่างไกลจากจุดเริ่มต้น

เราข้ามถนนเข้าไปสู่สวนหย่อมในวงเวียน หาบเร่ขายไก่ย่าง ส้มตำ ลาบ และน้ำตกกระจายกันอยู่ตามร่มลั่นทม

“หิวไหม” ผมถาม

ไหมน้อยโคลงหัว “ไม่หิวแต่อยากนั่ง”

เพื่อแลกกับเสื่อปูนั่งผมสั่งลาบและข้าวเหนียว ร่มเงาลั่นทมในแสงแดดอ่อนโชยกลิ่นหอมรวยริน ผมมองไปยังเหล่าช่างภาพรับจ้างที่เดินวนเวียนหาลูกค้า

“ถ่ายรูปกันไหม” ผมถาม

ไหมน้อยโคลงหัว “เสียดายตังค์”

“จะได้เก็บไว้ดู ส่งกลับบ้านไปให้แม่ก็ได้” ผมพูด

ไหมน้อยคว้าแขนผมไปกอดไว้ “รูปไม่เหมือนตัวคนจริงๆ หรอกนะ ไม่มีวันเหมือน”

“ถ้าวันหนึ่ง…” ผมพูดยังไม่จบไหมน้อยกอดแขนผมแน่นขึ้น

“ไม่ๆ พี่อย่าพูดต่อ” เสียงเธอสั่น

ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอ รูปถ่ายที่เอาไว้ดูต่างหน้าหมายถึงภายหลังการจากพราก และกอดที่บีบกระชับอ้อมแขนบอกถึงแรงเหนี่ยวรั้งแห่งรัก

นี่หรือคือรัก รักซึ่งไหมน้อยมีต่อผมอย่างท่วมท้นใจ และเธอรู้จักความรักลึกซึ้งกว่าผมหลายต่อหลายเท่า

ผมเคยรักใครบ้าง ในวัยเยาว์ที่เคยมีพ่อและแม่เหลือเพียงความทรงจำอันเลือนจาง ครอบครัวของลุงที่ผมชาชินต่อคำด่าทอ ถากถาง และไม้เรียวที่เฆี่ยนตี  ณ ที่ตรงนั้นไม่เคยมีรัก ร้านอาหารที่ผมช่วยงานและอาศัยเพื่อเรียนหนังสือ คำด่าทอและการจิกหัวใช้ไม่เคยก่อรักขึ้นในใจ ผนวกกับภูเขาของถ้วยชามที่ต้องล้างในแต่ละวันมีแต่จะทำให้ผมชิงชังชีวิตตัวเอง

นี่เองคือรัก หัวซึ่งคลุมด้วยเส้นผมอ่อนนุ่มของไหมน้อยที่แนบชิดไหล่ ส่งไออุ่นแทรกลึกไปถึงอกข้างใน ผมรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุข แขนที่เธอคว้าไปกอดไว้ก็เช่นเดียวกัน ผมรับรู้ถึงสายเลือดที่อุ่นซ่านไปทั่วสรรพางกาย

รักเป็นเช่นนี้เอง…

 

รถประจำทางแล่นฝ่าแสงแดดอ่อนยามเย็น แทรกกระแสลมหนาวซึ่งวูบผ่านช่องหน้าต่าง ผมกางแขนข้างหนึ่งโอบกอดไหมน้อย กระชับแน่นขึ้นตามความรู้สึกอุ่นซ่าน และข้างในของผมผลิบานราวดอกไม้สยายกลีบร่าเริง

ดวงตาวาวประกายจ้องมองผมใกล้ๆ พร้อมสูดลมหายใจลึก เราไม่ได้พูดหรือเปล่งเสียงต่อกัน ผมนึกถึงท้องทุ่ง กระท่อมน้อยที่หันหน้าสู่สวนหม่อน ผมจะไปที่นั่น เป็นชาวนาที่แข็งแกร่ง จัดการหม่อนไหมด้วยกำลังของสติปัญญา ผมมีแม่ใจดี น้องชายที่น่ารัก และผมก็จะมีลูกสาวลูกชายที่แข็งแรง รูปร่างสูงโย่งหล่อเหลามีปลายเส้นผมหยิกงอนเหมือนพ่อ และเจ้าลูกสาวตัวดี จมูกรั้นน้อยๆ และมีดวงตาแวววาวเหมือนแม่

หากว่า… กิจการทุกอย่างไม่เป็นไปได้ด้วยดี ผมจะแก้ปัญหาด้วยวิชาที่ได้ฝึกฝนไปจากโรงเทียน

ต้มเหล้าเถื่อนขาย…

ผมแอบยิ้มขบขันความคิดตัวเองจนลงจากรถเมล์ ต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาถึงหน้าโรงงาน ครั้นแล้วความร่าเริงทั้งหมดทั้งมวลพลันปลาสนาการไปสิ้น ประตูโรงงานปิดล็อคกุญแจ ทั้งช่องเล็กและประตูเลื่อน ป้อมยามว่างเปล่าไร้คนเฝ้า

ความมืดโรยตัวห่มคลุม ผมปล่อยไหมน้อยยืนหิ้วถุงข้าวของรอที่หน้าประตู เดินอ้อมไปทางด้านหลัง หน้าต่างทุกบานบนตึกปิดเงียบเช่นเดียวกัน

เฮียคุง พี่แดง และคนอื่นๆ ในตึกหายไปไหนกันหมด…


ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่