– ๘ –
………………
ชายร่างสูงโย่งเกือบหกฟุต แม้อายุน่าจะย่างเข้าห้าสิบกลางๆ แต่ยังกำยำล่ำสัน หน้ากระดูก คางแหลม จมูกงุ้มพิมพ์เดียวกับพ่อมดในนิยายฝรั่ง แกติดรถเถ้าแก่ร่างเตี้ยมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ เปิดกระโปรงท้ายรถยกกระเป๋าลงมาแล้วเดินตามเถ้าแก่เข้าไปในห้องส่วนตัว อีกพักใหญ่ถัดมาแกก็ตามเจ้าของโรงงานมาเพื่อแนะนำตัว
เทียบส่วนสูงกันแล้ว เตี่ยของเจ้าต้นสนสูงไม่ถึงไหล่ของชายหน้ากระดูก แต่ฝ่ายหลังก็เดินตามชายซึ่งเตี้ยกว่าต้อยๆ เหมือนถูกจูง แนะนำตัวกับคนเทเทียนทั้งสี่แล้ว เสี่ยเตี้ยเคลื่อนกายม่อต้อของแกไปยังโต๊ะห่อเทียน เป็นวันที่แม่ครัวประจำโรงงานมานั่งอยู่ด้วย พี่แดงจึงได้รับการแนะนำในฐานะคนเก่าแก่ที่สุด จากนั้นก็เป็นคนที่อยู่ประจำ ส่วนคนงานรายวันไปกลับได้รับการแนะนำแบบรวมหมู่ทีเดียวจบ
ขณะทั้งสองเดินผ่านหน้าเฮียคังและแนวเทียนไขที่วางกองไว้หลังการหั่นท้ายอย่างประณีตหมดจดไปทุกเล่มแล้ว เฮียคังเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วหยิบมีดเล่มใหญ่อันคมกริบของแกกดลงบนเป้าหมาย ไม่มีการแนะนำผู้มาใหม่ เถ้าแก่พาร่างเตี้ยๆ ของแกตรงลิ่วมายังหน้าเตา
“หัวหน้าคุมเตา” เถ้าแก่ชี้มาที่ผมแล้วกล่าวแนะนำ “นี่แหละคือคนสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีคนคุมเตาต้มขี้ผึ้ง เทียนไขทั้งโรงงานก็ไม่มีให้ส่งออก”
ชายโย่งผงกหัว ยิ้มที่มุมปาก “หัวหน้าคุมเตายังเด็กอยู่เลย”
“นี่คือผู้ช่วย” แกชี้ไปยังจ้อยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ จ้อยชอบไปยืนอยู่ใกล้กับเถ้าแก่ ยืดร่างขึ้นเพื่อให้ดูสูงกว่าปกติ นอกจากเด็กชายต้นสนแล้ว ก็มีเพียงเถ้าแก่ที่จ้อยสามารถเทียบส่วนสูงแล้วเกิดความภาคภูมิใจ
ชายร่างโย่งจมูกงุ้มชื่อคุง แวบคิดเดียวหลังเถ้าแก่แนะนำชื่อ ปริศนาเกิดขึ้นในใจของผมทันที จนกระทั่งคล้อยหลังคนทั้งสอง ผมจึงเฉลยให้จ้อยฟังด้วยความมั่นใจ
“หลานเถ้าแก่ พี่ชายเฮียคัง” ผมเกือบจะบอกว่าพี่ชายเฮียเคี้ยง แต่ฉุดคิดได้ทัน จ้อยมาทำงานที่นี่หลังแกพามอเตอร์ไซค์ไปผาดแผงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
“แกจะมาเฝ้ายามใช่ไหมมึง แต่ทำไมเถ้าแก่บอกว่าเป็นคนดูแลโรงงาน” จ้อยมองตามหลังร่างสูงโย่งที่กำลังสืบก้าวสู่ห้องทำงานของคุณพิชัย
“ถ้ามึงเคยเรียนหนังสือน่าจะเข้าใจดี” ผมว่า
“เข้าใจยังไง” จ้อยยักคิ้ว
“ยามก็เหมือนภารโรงไง ภารโรงก็คือผู้ดูแลโรงเรียน” ผมเฉลย
จ้อยผงกหัวและพูด “นอกจากเฝ้าประตูแล้ว แกจะต้องถือเกรียงมาแซะขี้ผึ้งตามพื้นด้วย”
เป็นไปตามที่ผมคาดไว้ เฮียคุงผู้ดูแลโรงงานโดยตำแหน่งเป็นพี่ชายเฮียคังและเฮียเคี้ยง แม้อายุมากกว่าแต่มีศักดิ์เป็นหลานเสี่ยเตี้ย เดินทางมาจากบ้านสวนลุ่มน้ำแม่กลองตามคำร้องขอของญาติซึ่งต้องการผู้ดูแลโรงงานที่สามารถไว้วางใจได้
เฮียคุงได้ห้องพักติดแอร์ชั้นล่างของตึก แต่เดิมเคยเป็นห้องพักผ่อนหย่อนอารมณ์ของเถ้าแก่กับลูกชายตัวน้อยๆ ว่ากันว่าในห้องมีทั้งเตียงนอน โทรทัศน์ เครื่องเสียงสเตริโอ และห้องน้ำสะอาดสะอ้าน ในบรรดาคนงานทั้งหมด มีพี่แดงเพียงคนเดียวที่เคยล่วงล้ำเข้าไป
ในฐานะผู้ดูแลโรงงาน เฮียคุงไม่ต้องเข้าเวรตามเวลากำหนดเหมือนลุงยามผู้จากไป หน้าที่คล้ายกันก็มีเพียงถือกุญแจประตู ตรวจกระเป๋าคนงานไปกลับรายวัน แกไม่ต้องห่อข้าวมากินเองเหมือนยามคนเก่า ปิ่นโตที่เคยผูกไว้วันละมื้อสำหรับคุณพิชัย เพิ่มเป็นสามเวลา
คุณพิชัยเข้างานสายตามปกติของนายช่างอิสระ เขาจึงกินแค่มื้อกลางวัน ด้วยรูปร่างผอมบางจนไม่น่าจะไปยืนอยู่ริมทางหลวงได้นาน คุณพิชัยเป็นคนกินน้อย กับข้าวกลางวันที่มากับปิ่นโตจึงเผื่อแผ่มาถึงคนงานกินจุอย่างพวกเราบ่อยครั้ง
ตัวอย่างที่คุณพิชัยทำให้เห็น เฮียคุงเจริญรอยตาม กินมื้อเช้าและมื้อค่ำอิ่มแปล้ไปแล้ว แกจะเดินมาเรียกใครสักรายในวงข้าวของเราไปรับปิ่นโตของแกมาสะสางส่วนที่เหลือ นี่คือความดีมีน้ำใจเบื้องต้นของแก
ดูแลโรงงานตามหน้าที่เรียกขาน นั่นหมายถึงความสงบเรียบร้อย ความเป็นระเบียบในเมื่อคนงานเป็นส่วนหนึ่งของโรงผลิตเทียนไข แกก็ต้องดูแลและควบคุมไปด้วยตามหน้าที่
แรกก็คืออาหารการกินที่เราไม่ค่อยจะพอ แกแบ่งกับข้าวที่เหลือมาให้ ต่อมาเวลาแกจ้างวานใครออกไปซื้อของข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ ของกิน ของใช้ และเหล้า แกก็ทิปพิเศษเป็นค่าเดิน
คนเทเทียนนายหนึ่งยิ้มกว้างสุดมุมปากหลังไปซื้อของที่ร้านชำ เฮียคุงฝากซื้อบุหรี่ซองหนึ่ง แกให้แบงก์ร้อย เงินทอนที่เหลือเป็นค่าเดินของคนไปซื้อ
จ้อยก็ยิ้มร่าไปอีกคน ถูกใช้ไปซื้อเหล้าแบนเล็ก เขาได้เงินทอนเป็นค่าทิปทั้งหมด
“เฮียคุงใจดีนะมึง” จ้อยว่า
ผมหงกหัว “คงงั้นมั้ง”
บ่ายวันหนึ่งเฮียคุงพาร่างสูงโย่งไปนั่งอยู่ท่ามกลางคนงานหญิง แกปฏิบัติการผูกมิตรเอาใจด้วยการเลี้ยงขนมจีน แถมพ่วงด้วยขนมหวานซึ่งแม่ค้าตะลอนหาบเร่ในซอยนำเข้ามาส่งถึงที่
พี่ทุเรียนในฐานะคนงานอาวุโสเอ่ยสรรเสริญเสียงดัง
“ไม่มีใครใจดีเท่าเฮียคุง เป็นญาติกับเถ้าแก่ แต่ทำไมสายเลือดเดียวกันแท้ๆ เถ้าแก่ไม่รับเชื้อความใจดีมาบ้างเลย”
หน้าที่ดูแลโรงงานขยายกว้างออกไป ครอบคลุมไปทั้งพื้นโรงงานทั้งหมด และสิ่งมีชีวิตที่ใช้ทำงานได้ เฮียคุงไม่ได้ถือเกรียงก้มหน้าแซะขี้ผึ้งติดพื้น หากเรียนรู้การมอบหมายหน้าที่ให้คนงานใหม่สองรายซึ่งสำนักจัดหางานจับโยนเข้ามา คนหนึ่งช่วยแผนกเทเทียน อีกคนมาช่วยหน้าเตาเรียนรู้งาน ยามว่างแกก็มายืนเท้าสะเอวคอยกำกับ ยัดเกรียงใส่มือคนงานใหม่
“แซะขี้เทียนตามพื้น” แกออกคำสั่ง
ย่ำค่ำหลังโรงงานปิดแล้ว ทั่วบริเวณโรงงานเทียนไขและตึกสามชั้น แกเป็นชายเพียงคนเดียวที่มีอำนาจเหนืออาณาจักร บางครั้งมีคนเห็นแกนั่งจิบเหล้าอยู่ใต้ร่มเขียวเสวย หลังความมืดห่มคลุมลงมา ไฟจากบุหรี่ที่ปากของแกคาบไว้จะแดงวาบๆ ตัดม่านของค่ำคืน
เรื่องราวบางด้านหล่นมาจากปากน้องชายคนเล็ก เฮียคุงเคยเป็นทหารเกณฑ์ ปลดประจำการแล้วเคยไปสมัครทหารพรานแต่ไม่มีวาสนาได้เป็นนักรบดำตามประสงค์ เคยเป็นนักมวยแต่สถิติการชกแพ้มากกว่าชนะแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น และที่สำคัญสำคัญที่สุดแกยิงปืนแม่น ตอนอยู่บ้านแม่กลองแกเคยใช้ลูกซองห้านัดสอยนกบินร่วงลงเป็นว่าเล่น
บางวันแกสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ปืนสั้นขนาด .22 ที่พกตุงอยู่ใต้ชายเสื้อ ไม่รอดพ้นสายตาช่างสังเกตของใครหลายคน
รอบกองไฟของวงเหล้าเล็กๆ ริมบึงในอ้อมแขนของป่าหญ้า เหล้าขาวในยามยากเล่นเอามึนหัวกันโดยง่าย โดยเฉพาะผมซึ่งคออ่อนกว่าใครเพื่อน ดวดไปแค่ครึ่งแก้วผมจะปลีกตัวออกมานั่งข้างวิทยุเทป คอยเปิดเพลงชงให้สมาชิกอีกห้าหน่อผลัดกันเต้นแร้งเต้นกาตามจังหวะดนตรี
วางแก้วเหล้าจับคู่เต้น ไหล่กระแทกไหล่ เหวี่ยงสะโพกกระทบกัน เพลงนักร้องหญิงฝรั่งคนหนึ่งลามระบาดไปทุกหัวระแหง ทั้งจากวิทยุและตู้เพลงหยอดเหรียญ ไม่เว้นแม้กระทั่งจอหนังไทยที่พระเอกนางเอกวัยรุ่นจบคู่เต้นบั๊ม
โปสเตอร์ยักษ์ไพโรจน์ สังวริบุตรกับลลนา สุลาวัลย์ จากหนังเรื่องรักอุตลุตยึดครองผนังห้องพักสี่สหายเทเทียนแทนที่สุนทร สุจริตฉันท์
ผมสอดเทปเพลงของทินาชาร์ล เร่งเสียงพอประมาณไม่ให้ดังรบกวนคนในตึกใหญ่ หน้าต่างที่ไหมน้อยโผล่หน้าออกมาชมแสงดาวปิดสนิทไปแล้ว ลมหนาวที่อายุแสนสั้นในเมืองหลวงทิ้งช่วงไปนานเหมือนห่างหาย ต้นหญ้าริมบึงยืนสงบกลางความมืด
จ้อยซึ่งลุกขึ้นดีดดิ้นเหวี่ยงสะโพกกระแทกกับภูเขียวชั่วเพียงไม่นานก็เดินหอบหายใจมาทรุดนั่งลงเท้าแขนยันพื้น หรี่ตามองเหล้าขาวในขวด
“กูพอแล้ว” เขาส่ายหัวและยกมือห้ามคนที่กำลังจะรินเหล้าส่งให้ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ยกกระป๋องเทียนไม่ไหว”
“อาทิตย์หน้าไปกินน้ำชากัน” ภูเขียวซึ่งหยุดพักการเต้นทรุดนั่งลงใกล้ๆ
ผมลดระดับเสียงวิทยุเทปเพื่อจะได้คุยกัน หันมองไปทางภูเขียว “ทำไมต้องกินน้ำชา ไม่ได้เป็นคนจีนสักหน่อย” สายตาทั้งห้าคู่จ้องมาทางผมแล้วพวกเขาก็ระเบิดหัวเราะพร้อมกัน จ้อยตีไหล่ผมอย่างแรง
“ไปกับพวกกูไหม เปิดหูเปิดตาบ้างสิมึง”
“น้ำชาตามร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็มีนี่” ผมว่า
พวกเขาหัวเราะกันยาว แล้วมีเสียงแทรกถามผมว่า “ขึ้นครูหรือยัง”
ผมรู้ความหมายของคำนี้ แล้วถามพวกเขาถึงความหมายของการไปกินน้ำชา จ้อยบอก “มันก็คือซ่องนั่นแหละ มึงเคยเห็นซ่องกะหรี่ไหมล่ะ”
จ้อยในวัยย่างยี่สิบเอ็ด เขามีกำหนดจะเข้ารับการเกณฑ์ทหารในเดือนเมษายนที่จะถึง เขาไม่ได้หวาดกลัวว่าจะจับได้ใบแดง เชื่อมั่นในความเตี้ยของตัวเองเต็มเหนี่ยว จ้อยจากบ้านเกิดซานเซตะลอนใช้ชีวิตตั้งแต่อายุสิบหก ผ่านงานตรากตรำมาหลายจังหวัด ผละจากวงเหล้าเรานอนคุยกัน จ้อยเล่าถึงซ่องแห่งแรกที่รุ่นพี่พาเขาไปขึ้นครู ตอนนั้นเขาทำงานโรงน้ำแข็งที่สมุทรปราการ
“ซ่องต่างจังหวัดไม่เหมือนในกรุงเทพฯ” จ้อยเล่าผ่านความมืด “เป็นบ้านไม้เก่าโทรมในตรอกแคบๆ กลางคืนจะเปิดไฟสีชมพู เดินเข้าไปก็จะเห็นผู้หญิงนั่งให้เลือกในตู้ ซ่องที่ว่าเขามีเหล้าขายด้วยนะมึง กินเหล้าเมากลับบ้านไม่ถูกก็นอนค้างกับผู้หญิงได้ตลอดคืน”
จ้อยโชกโชนในเรื่องนี้ ด้วยประสบการณ์ของผู้ใช้แรงงานที่สัญจรชีวิตไปตามแรงเหวี่ยงของโชคชะตา พบพานทั้งเรื่องราวหรรษาและปวดร้าว แล้วเขาก็บรรยายถึงโรงน้ำชาในกรุงเทพฯ
“ซ่องในกรุงเทพฯ ไม่เหมือนต่างจังหวัด อย่างน้อยมันก็ไม่ยอมเรียกกันว่าซ่องตามตรง ที่แพงและแพงมากก็เป็นอาบ อบ นวด ระดับที่รายได้อย่างกูไปเที่ยวได้ก็เรียกโรงน้ำชา กูไม่เข้าใจหรอก ไปเที่ยวนอกจากเสียเงินค่าตัวผู้หญิงแล้ว ทำไมกูต้องเปลืองค่าน้ำชา”
ผมนอนฟังจ้อยเงียบๆ ก่อนหลับเขาบอกว่า “อย่างมึงไม่ต้องไปขึ้นครูหรอก แฟนมึงดีจะตาย น่ารักชิบหาย ใครเสื้อขาด กางเกงชำรุดวานไปให้เย็บปะ เขาชุนให้เป็นอย่างดี ไม่เคยคิดตังค์ใครด้วย ถ้าไม่ใช่แม่ก็เป็นน้องสาวของทุกคน ยกเว้นมึง ดีขนาดนี้ แต่งงานกับเขาไป มึงก็จะมีแต่ความสุข”
ผมวาดภาพโรงน้ำชา ซ่อง และอาบอบนวดไม่ออกในจินตนาการ เคยอ่านนิยายบางเรื่องทั้งสนิมสร้อยของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ และเทพธิดาโรงแรม ของณรงค์ จันทร์เรือง ถึงกระนั้นก็ไม่มีประสบการณ์ร่วมให้นึกถึงสภาพความเป็นไปจริงๆ
ขึ้นครูหรือ เกี่ยวอะไรกับการมีแฟน และยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับคนอย่างไหมน้อย ในทุกสัมผัสที่ผมและเธอมีต่อกัน มันคือความรัก รักที่เหมือนดอกไม้งอกงามขึ้นบนหัวใจ
วิทยุเทปที่ผมตั้งใจซื้อมาฟังเพลงฝรั่งเพื่อแกะเนื้อแปลเป็นภาษาไทย นอกจากกลายเป็นเครื่องดนตรีสำเร็จรูปในวงปิ้งย่างริมบึงแล้ว ยังเป็นเครื่องขับกล่อมการทำงานตลอดวันอันยาวนาน แรกอาศัยถ่านที่ผมซื้อมาเป็นพลังงาน สะดวกที่จะนำไปตั้งวางได้ทุกที่ ทว่าม้วนเทปเจ้ากรรมกินไฟมากขึ้นทุกที สุดท้ายก็ต้องต่อสายไฟเสียบเข้ากับปลั๊กพัดลมของเฮียคัง
“ไอ้ยา…” พี่ทุเรียนตะโกนมาจากโต๊ะห่อเทียน “ไม่มีเพลงพุ่มพวงหรือศรเพชรมั่งหรือ”
สี่หนุ่มกับอีกหนึ่งผู้ช่วยจากแท่นเทเทียนพร้อมกันสวมวิญญาณทาร์ซาน โห่ให้กับความเชยของพี่ทุเรียนตามประสาเด็กบ้านนอกที่เห่อเพลงสตริงตามแฟชั่นเมือง ผมหยิบม้วนเทปเพลงพุ่มพวงชูขึ้น พี่ทุเรียนยิ้มและพูดสวนทางเสียงโห่
“รู้จักฟังเพลงดีๆ กันบ้าง อย่าเอาแต่บ้าๆ บอๆ“
บรรดาไอ้หนุ่มบ้านอกคลั่งสตริงทำเป็นโห่ไปอย่างนั้นเอง ครั้นเพลงพุ่มพวงจากเครื่องเล่นเร้าจังหวะชวนโยก พวกเขาก็ดีดดิ้นไปรอบๆ แท่นเทเทียน สนุกสนานครื้นเครงไปกับการทำงาน เทเทียนเสร็จไปแล้ว คว้าหูกระป๋องเปล่าหิ้วกลับมายังถังแยก บางคนยังยักย้ายส่ายสะโพก
เอาใจพี่ทุกเรียนจบไปแล้ว ถึงคราวทินาชาร์ล ในเพลงเลดี้บั๊ม หนุ่มแผนกเทเทียนก็ชนไหล่และเหวี่ยงสะโพกปะทะกัน จ้อยเดินไปที่เครื่องเล่นเทป ปรับระดับเสียงดังก้องไปทั่วโรงงาน
“ดูเสี่ยให้ดีนะมึง” ผมเตือน “เสี่ยเข้ามาตอนนี้ ชิบหายเลย”
จ้อยหัวเราะ “แกมาแล้วเมื่อวานนี้ วันนี้ไม่น่าจะเข้ามาอีก”
ไร้เงาของเสี่ยเตี้ย คนที่หน้าตื่นตาขวางผ่านช่องทางเดินสู่ลานโรงงานกลับเป็นเฮียคุง ภูเขียวกับเพื่อนแผนกเทเทียนยังกระแทกบั๊มกันอย่างเมามัน เฮียคุงหันรีหันขวาง พยายามจับทิศทางว่าเสียงเพลงดังมาจากไหน และตัวเคราะห์ร้ายถูกวางไว้ที่ใด มองเห็นเป้าหมายแล้วแกก็เดินตรงเข้าหา จ้อยเดินไปลดเสียงและปิดเงียบทันที
“วิทยุนี่ของใคร” เฮียคุงถามเสียงดัง
จ้อยบุ้ยใบ้มาทางผม เฮียคุงเงียบไปพักหนึ่ง สามวันก่อนนี้เองที่ผมออกจากโรงงานเป็นคนสุดท้าย ผ่านหน้าป้อมยามที่เฮียคุงนั่งสูบบุหรี่พ่นควัน แกลุกขึ้นกวักมือเรียก
“ไอ้หนุ่ม ไปซื้อเหล้าให้เฮียแบนหนึ่ง”
ผมรู้ว่าแกจะต้องให้ทิป และร้านของชำก็อยู่ห่างจากโรงงานประมาณร้อยเมตรเศษๆ ไม่ใช่เรื่องยากลำบากแต่อย่างไรถ้าจะเดินไปทำธุระให้แก ด้วยท่าทีที่เหมือนเรียกจิกหัวใช้ และเอาเงินฟาดหัวแถมพกให้อีก ใจผมบังเกิดความกบฏเล็กๆ ขึ้นมาในบันดล
“ผมเหนื่อยแล้ว เดินไม่ไหว” ผมบอกปัด
แบงก์ร้อยในมือยังยื่นมาตรงหน้า ผมรู้ดี ทุกคนต่างเคยเดินซื้อของให้เฮียคุงครบถ้วนกันแล้ว นอกจากคุณพิชัยและเฮียคังน้องชายของแกก็เหลือผมเป็นคนสุดท้าย ใจที่คิดขัดขืนมั่นคงและเพิ่มพลังขึ้นในอก
ผมไม่ยื่นมือไปรับ เดินสาวเท้าห่างออกไป ทิ้งเฮียคุงไว้กับม่านควันบุหรี่โดยไม่หันกลับมองหลัง
จ้อยบอกไปตามจริง เขาคงคิดว่าเฮียคุงจะเกรงใจผมอยู่บ้าง แต่ว่าแกไม่มองมาทางผมด้วยซ้ำ ก้มลงถอดสายไฟแล้วหยิบวิทยุเทปติดมือขึ้นมา แล้วสาวเท้าเดินจากไปเหมือนไม่ได้มีอะไรติดมือไปด้วย
สายตาทุกคู่ในโรงงานมองตามร่างสูงโย่ง จ้อยอุทานเสียงดัง
“ชิบหายสิมึง แกทำแบบนี้ไม่ได้”
ตลอดช่วงเวลาที่ผมหิ้วเจ้าวิทยุเทปเข้ามาในชีวิต มนต์เสียงเพลงเรียกสี่สหายพร้อมกับคนงานใหม่สองรายเข้ามาร่วมฟัง และเราก็ร่วมดื่มกันข้างกองไฟ ดีดเต้น สนุกสนาน ครั้นถูกเฮียคุงผู้ดูแลโรงงานยึดไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบ วิทยุทรานซิสเตอร์ของสี่สหายดับเงียบไปนานแล้ว พวกเขาไม่สนใจจะนำไปซ่อม
ภูเขียวพูด “แกดูแลโรงงาน แกเลยต้องรักษาความสงบเรียบร้อย”
อีกคนทำท่าจะเห็นด้วยแต่ก็แย้งในท่อนท้าย ”ใช่ แกมีหน้าที่ดูแลโรงงาน แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับวิทุยเทปสักหน่อยเดียว”
ภูเขียวว่าอีก “แกเคยเป็นทหาร”
จ้อยถาม “เคยเป็นทหารแล้วไง”
ภูเขียวอายุยี่สิบห้าปี เคยเป็นทหารเกณฑ์เหมือนกัน เขาตอบที่จ้อยถาม
“แกคงคิดว่า ทุกคนเป็นทหารเหมือนแกไง”
“ต้องไปเอาคืน” จ้อยฮึดฮัด “แกไม่มีสิทธิ์ยึด”
ภูเขียวว่า “แกเข้าใจว่าแกสามารถทำได้ อ้างหน้าที่ดูแลโรงงาน แกต้องดูแลคนงานด้วย”
ทุกคนเป็นเดือดเป็นแค้น ขณะผมตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ได้เสียดายข้าวของที่ถูกยึดไป แท้แล้วผมกังวลในใจลึกๆ เรื่องราวระหว่างผมกับเฮียคุงอาจไม่จบลงโดยง่าย ที่ผมไม่เดินไปซื้อเหล้าให้แกวันนั้น เท่ากับผมปฏิเสธอำนาจบางด้านของแก ครั้นรู้ว่าวิทยุเทปเป็นของใคร แกก็แสดงอำนาจอีกด้านออกมา ถ้ามันเป็นของคนอื่นแกอาจแค่เดินไปเตือนให้เปิดเบาหน่อยก็สมควรแก่เหตุแล้ว
จ้อยไปราดเชื้อไฟให้กับความไม่พอใจซ้ำอีก เขาคอยตามไปทวงวิทยุเทปคืน และเขาก็ได้คืนกลับมาจนได้แต่ทุกครั้งที่ตามไปทวง เฮียคุงเข้าใจว่าจ้อยทำตามที่ผมสั่ง
เราเปิดฟังกันข้างกองไฟ ในบ้านพัก เต้นแร้งเต้นกาหลังเวลาเลิกงาน ผมไม่เคยหิ้วเจ้าตัวเคราะห์ร้ายเข้าไปในโรงงานอีก ถึงกระนั้น เฮียคุงยังไม่วายแขวะผมแบบกระทบชิ่งผ่านจ้อย
“นี่ไอ้เตี้ย” เฮียคุงจับไหล่จ้อยเขย่าอย่างแรง “เจ้านายของเอ็งคือเถ้าแก่ ไม่ใช่หัวหน้าคุมเตา”