ฉันยิ้มให้เขา ยิ้มอย่างจริงใจ สดชื่น เปิดเผย ยิ้มอย่างที่หลายคนเคยชื่นชมว่าเป็นยิ้มที่เห็นแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ กระทั่งฉันเองก็รู้สึกได้ว่านี่เป็นความสามารถเดียวที่ทำแล้วควบคุมผลลัพธ์ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ทำจนชำนาญ และแน่นอน มันใช้ได้ผลเสมอ
ฉันยิ้มให้เขา ตำรวจท่องเที่ยวซึ่งยืนต้อนรับนักท่องเที่ยวที่กำลังขึ้นเหยียบเกาะ พูดกับนักท่องเที่ยวด้วยภาษาอังกฤษชัดเจน ไพเราะ ฉาดฉานมั่นใจ
เขาขอความร่วมมืออย่างสุภาพ ให้นักท่องเที่ยวผู้ชายแยกไปทางด้านขวาเพื่อตรวจกระเป๋า เนื่องจากได้รับรายงานอาชญากรรมมาจากตำรวจชายฝั่ง รายละเอียดอย่างไรนั้นเขาไม่ได้พูด แต่จากบรรยากาศและท่าทางขึงขังของทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รอตรวจค้น ทุกคนพอเดาได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงทีเดียว
ลงจากเรือ มาต่อแพไม้เพื่อเข้าเหยียบเกาะ แพลากมาถึงระดับน้ำแค่เข่า ทุกคนต้องกระโดดลงในน้ำ ลุยน้ำตื้นๆเข้าไปที่ชายหาด ฉันเอื้อมมือไปด้านหลัง พยายามยกกระเป้ใบเล็กให้สูงขึ้นพ้นระดับ ก้นกระเป๋าจะได้ไม่เปียกน้ำ นั่นสำคัญมาก แต่กระนั้นคลื่นทะเลลูกหนึ่งซัดกระแทกเข้ามาจนก้นกระเป๋าส่วนหนึ่งเปียกน้ำ ฉันใจหายวูบ รีบก้าวขึ้นไปยังที่แห้งอย่างรวดเร็ว
ตำรวจหนุ่มยื่นมือมาช่วยยกกระเป๋า ฉันรับคืนอย่างสุภาพ และแน่นอน สบตา ยิ้มให้เขา มันใช้ได้ผลเสมอมา
เขายิ้มตอบ ฉันยินดีที่เห็นแววตาเก้อเขิน ยิ้มของเขาดูจริงใจไม่แพ้กัน ฉันชอบที่เขาพยายามมองแต่ที่ใบหน้าและรอยยิ้มของฉัน ไม่วอกแวกลงมาต่ำกว่านั้น ตำแหน่งที่ฉันประดิดประดอยมาอย่างดีด้วยชุดชั้นในดันทรงอวบอิ่มลูกไม้สีดำ ทับด้วยเสื้อกล้ามสีขาวเนื้อบาง และเสื้อเชิ้ตชีฟองลายท้องฟ้าบางเบาชายยาวคลุมกางเกงยีนขาสั้น เผยเรียวขายาวผุดผ่อง ปล่อยผมเป็นลอนยาวสยายถึงเอว ฉันคาดหวังว่าเหล่านี้จะช่วยดึงดูดสายตาได้หากรอยยิ้มไม่ได้ผล
แก้มแดงเรื่อชื้นเหงื่อของเขาทำให้ใบหน้าดูอ่อนวัย เสียงหอบหายใจเบาๆ ที่ได้ยินนั่น เพราะความตื่นเต้นหรือเปล่านะ เขาเลือกที่จะพูดกับฉันเป็นภาษาจีนกลางว่า ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ ฉันตอบด้วยภาษาเดียวกัน เซี่ยเซี่ย ขอบคุณค่ะ แต่อย่าพูดกับฉันมากกว่าประโยคนั้นเลยนะคะ ฉันคิดต่อในใจขำๆ เพราะฉันเองก็พูดจีนได้เท่านั้นแหละ
ฉันหายใจได้เต็มปอดมากขึ้นเมื่อตำรวจหนุ่มหน้าใสคนนั้นหันไปสนใจการตรวจกระเป๋าของนักท่องเที่ยวชายอีกฟาก
พนักงานต้อนรับของบังกะโลที่พักติดชายหาดเดินออกมากล่าวทักทายสามภาษา ไทย จีน อังกฤษ คล้องมาลัยกล้วยไม้สีม่วงให้กับทุกคนก่อนเดินนำไปเข้าที่พัก
พนักงานหญิงคนหนึ่งเสนอจะช่วยถือเป้ให้ฉัน แต่ฉันส่ายหน้าและขอบคุณอย่างสุภาพ แน่นอน ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรและจริงใจ ดวงตาคงยิบหยีเป็นประกายอย่างที่คนรักของฉันเคยบอก
ก่อนเดินเข้าห้องพัก นักท่องเที่ยวหญิงคนหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลังก้าวไวๆ เดินมาประชิด และกระซิบว่า น้องคะ เลือดเปื้อนขาเป็นทางเลย เตรียมผ้าอนามัยมาหรือเปล่าคะ ที่พี่มี เอาของพี่ไปใช้ก่อนได้นะคะ
ฉันตกใจและคงหน้าซีดโดยไม่ต้องเสแสร้ง เธอว่าเห็นเลือดไหลย้อยเป็นทางจากชายกางเกงขาสั้นด้านหลังแต่คงไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วต้นทางมาจากก้นกระเป๋าเป้ สิ่งที่อยู่ในนั้นทำฉันกระวนกระวายอีกครั้ง คงเพราะคลื่นทะเลเมื่อครู่ที่ทำให้เปียกเลือดจึงซึมออกมาอีกน้ำเกลือเป็นตัวทำละลายที่ดีเมื่อเจอกับเลือด ครูวิชาการเรือนเคยสอนอย่างนั้นเกี่ยวกับการซักเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดระดู
พี่สาวใจดีเสนอจะเดินไปส่งเพื่อช่วยบังด้านหลังให้ ฉันกล่าวขอบคุณ ยอมรับความช่วยเหลือ บอกเธอว่าเตรียมผ้าอนามัยมาเองด้วยแล้ว เธอเดินมาส่งถึงหน้าห้องพักแล้วขอตัวจากไป
ในที่สุดฉันก็ได้อยู่ตามลำพังกับคุณเสียที…
เมื่อตรวจสอบว่าประตูหน้าต่างปิดมิดชิดดีแล้ว ฉันจึงรีบเดินเข้าห้องน้ำ ถอดกระเป๋าเป้ออก รีบเปิดซิป ยกกระเป๋าผ้าด้านในออกมา
จริงดังคาด กระเป๋าผ้าเปียกน้ำทะเลทำให้เลือดจากรอยตัดลำคอของเขาซึมออกมาอีกครั้งทั้งที่แห้งไปตั้งแต่เมื่อคืน
“ขอโทษด้วยนะคะ อึดอัดแย่เลย” ฉันค่อยๆ ประคอง ศีรษะชายคนรักออกมาช้าๆ เขายังยิ้ม ไม่ได้ว่าอะไร
ฉันหยิบผ้าขนหนูผืนเล็ก ชุบน้ำสะอาด บรรจงเช็ดหน้าตาให้เขาจนสะอาดหมดจด และเอากระดาษทิชชูซับเลือดตรงรอยตัดที่คออีกครั้งจนแห้งดี
ฉันเปลื้องเสื้อผ้าออก เปิดฝักบัวอาบน้ำชำระคราบเลือดที่บริเวณขา คอยชำเลืองมองว่าเขาแอบดูอยู่หรือเปล่า คนทะเล้น! เห็นกันมาตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว ยังจ้องอยู่นั่นแหละ
“มองทั้งวันทั้งคืนยังได้ ผมไม่เคยเบื่อคุณเลย” เขาพูดอย่างนั้นขณะที่ฉันเช็ดตัวและเป่าผมให้แห้ง
“พูดดีตลอดละคุณน่ะ” ฉันว่าพลางอมยิ้ม เขาพูดอย่างนั้นบ่อยๆ ตอนที่เราแต่งงานกันใหม่ๆ “ฉันว่าจะออกไปหาอะไรกินสักหน่อย แล้วดึกๆ จะมารับคุณออกไป รอได้ไหมคะ”
“รอได้ครับ อย่าไปนานนักล่ะผมคิดถึง” เขาตอบยิ้มๆ เช่นเคย แล้วหลับตาลงช้าๆ หลับง่ายเหมือนเด็กๆ เขาเป็นอย่างนั้นเสมอ
ฉันแต่งตัวเสร็จจากที่ตั้งใจจะทิ้งเขาไว้ก็เปลี่ยนใจ ซับเลือดด้วยกระดาษทิชชูจนแห้งสนิทอีกที พันด้วยผ้าขนหนูหอมสะอาด “ไม่อยากทิ้งคุณไว้คนเดียว ไปด้วยกันดีกว่านะคะ”
ฉันยกเขาใส่กระเป๋าหูรูดทรงกระเป๋ากีฬาอีกใบที่เตรียมมาด้วยพร้อมกระเป๋าสะพายใส่ของมีค่า สวมรองเท้าผ้าใบ และอุปกรณ์เล่นทรายพลาสติกเดินออกไปที่ร้านอาหารริมทะเลที่อยู่หาดถัดไป
ที่นี่ยังเหมือนเดิม เหมือนเมื่อสมัยที่ฉันกับเขาเคยมาด้วยกันตอนรักกันใหม่ๆ และฮันนีมูนหลังแต่งงาน อากาศสดชื่น นักท่องเที่ยวไม่มากนัก หาดทรายขาวสวยสะอาดตา ฉันกินข้าวผัดสับปะรดในลูกสับปะรด เมนูที่เคยตื่นตาตื่นใจตอนมากินด้วยกัน วันนี้ต่างจากวันนั้นตรงที่เขาไม่คอยป้อนและยั่วเย้าให้หัวเราะ ไม่คอยจับเส้นผมที่ปลิวกระจายเพราะลมทะเลคล้องหูให้ แต่ฉันไม่โกรธไม่น้อยใจหรอก เขาเองก็คงป้อนไม่สะดวกนักในเมื่อมีแต่หัวแบบนี้
เพียงเดินเลาะชายหาดไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร ก็จะเจอเส้นทางเดินเท้าลัดป่าสั้นๆ ไต่โขดหินน้อยใหญ่ไปอีกนิดหน่อย ก็จะเจอหาดทรายขาวสะอาดสงบ สถานที่ที่เราสองคนเคยเรียกด้วยชื่อเฉพาะของเราว่าหาดแสงจันทร์
ฉันกับเขาชอบมาที่นี่ มันเหมือนเป็นสถานที่ลับที่มีแค่เราสองคนล่วงรู้ทางเข้า ชายหาดขาวเว้าเป็นรูปวงพระจันทร์ขนาดเล็ก มีโขดหินให้นั่งชมดาวและแสงจันทร์โดยเฉพาะกลางดึกเดือนหงาย เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับจะเพาะปลูกความรักอย่างหนุ่มสาว ให้งอกงามเติบโตสูงใหญ่ในชั่วข้ามคืน แม้รากที่หยั่งลงในผืนทรายจะไม่ยั่งยืนนักเพียงชั่วน้ำขึ้นตอนกลางดึก
“ผมตั้งชื่อที่นี่ว่าหาดแสงจันทร์ดีไหม ผมรู้ว่าคุณชอบพระจันทร์” เขาว่าอีก ประโยคนั้นเขาเคยพูดตอนที่เรามาด้วยกันครั้งแรก
“ถ้าเราอยู่ด้วยกันที่นี่ได้ตลอดไปก็คงดีสินะคะ” ฉันพูดบ้าง สุขอย่างเศร้าๆ ช่างไร้เดียงสาและโง่เขลา ที่คิดว่าบางอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่จะคงอยู่ไปชั่วกัลปาวสาน
“ผมรักคุณนะ และจะรักตลอดไป”
ฉันคิดว่าเราจะได้แก่เฒ่าไปด้วยกัน ร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวอบอุ่น ลูกเต็มบ้าน เป็นไปตามคำอวยพรของญาติผู้ใหญ่ในวันรดน้ำ ฉันยังคิดอีกหลายอย่างตามประสาคนโง่ ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้ฉลาดขึ้น เป็นเพียงคนโง่ที่เจ็บปวด
ฉันเดินมาถึงกลางหาด เริ่มขุดหลุมด้วยพลั่วพลาสติก ทรายที่นี่ร่วนซุยขุดง่าย ไม่แข็งเป็นกระดาน แป๊บเดียวก็ลึกได้เกือบเมตร เราเคยเล่นฝังทรายกัน เขานอนนิ่ง โผล่ขึ้นมาแค่หัว แต่คราวนี้ต่างออกไป
“ฝังลึกขนาดนี้ เกิดผมมีหน่อ มีราก งอกออกมาเป็นต้นจะทำยังไง” เขาพูดพลางหัวเราะเสียงหัวเราะสดใสดังกังวานไปทั่วทั้งหาด ฉันยิ้มให้เขา เขายิ้มตอบ รอยยิ้มของฉันใช้ได้ผลเสมอแม้ว่าตอนนี้จะเป็นรอยยิ้มที่แปดเปื้อนหยาดน้ำตาพรั่งพรู
ฉันสะอึกสะอื้นขณะกลบทรายลงในหลุมเป็นกำมือสุดท้าย…
เสียงกระซิบบอกรักขาดห้วงดังแทรกผืนทรายและแผ่วระคนอยู่ในฟองคลื่นที่ระดับสูงขึ้นมาเรื่อยๆ
แสงไฟจากเจ็ทสกีลำหนึ่งสาดส่องมาที่ฉันจนต้องหยีตา ชายแปลกหน้าหน้าตาน่ารัก ดูอบอุ่นจริงใจ พร้อมรอยยิ้มสะกดใจ คล้ายใบหน้าใต้ผืนทรายเมื่อครู่ ก้าวลงมาและเดินเข้ามาใกล้
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” ชายคนนั้นร้องถาม “มาทำอะไรตรงนี้คนเดียวมืดๆ อันตรายนะครับ” เขาว่าพลางเหลียวมองปราสาททรายหลังใหญ่สวยงามที่ฉันเพิ่งสร้างเสร็จ
ฉันยิ้มให้เขาทั้งที่ดวงตายังกลบด้วยหยาดน้ำตา แววตาเขาดูฉงนฉงาย แต่ก็ตามที่คาด รอยยิ้มใช้ได้ผลเสมอ
“พอดีเครียดๆ นิดหน่อย เลยออกมาเดินเล่นน่ะค่ะ เพลินไปนิด…ก็เลย…”
เขาพยักหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ เสนอตัวเป็นไกด์พาขับเจ็ทสกีเล่นสักครู่ หรือถ้าฉันไม่รังเกียจ เขาจะพาข้ามไปที่ฝั่ง มีร้านอาหารที่มีวงดนตรีสดตลอดทั้งคืน
ฉันยิ้มให้เขา ไม่ได้ว่าอะไรเมื่อสายตาของเขามองลงต่ำ ตรงที่ที่ฉันประดิดประดอยมาเป็นอย่างดีเพื่อให้ดึงดูดสายตา ไม่เร่งรีบนักขณะเก็บกระเป๋าหูรูดพับใส่ลงในกระเป๋าถือที่มีของใช้ส่วนตัวและของมีค่าติดมาด้วยครบทุกชิ้น
เจ็ทสกีพาฉันกลับเข้าฝั่ง คืนนั้นดนตรีไพเราะ ฉันยิ้มเมื่อตื่นขึ้นมาข้างๆ เขาในเวลาเกือบสิบเอ็ดโมงเช้า เรายิ้มให้กันตอนที่เขาไปส่งฉันที่สนามบินโดยไม่สอบถามอะไรอีก ได้แต่อวยพรให้ฉันโชคดี
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก้มหัวไหว้อย่างอ่อนช้อยสวยงาม ยิ้มของเธอหวานฉ่ำ ฉันยิ้มตอบ เธอตอนที่ข่าวในจอโทรทัศน์ของผู้โดยสารที่ขึ้นมาก่อนเริ่มรายงานข่าวด่วน พบศพชายหนุ่มถูกฆาตกรรมปริศนา
ฉันขอร้องเป็นภาษาอังกฤษให้เธอช่วยหาตำแหน่งที่นั่ง เธอเดินนำฉันไปอย่างสุภาพ นางฟ้าชุดสีม่วงเข้มอวยพรให้ฉันมีความสุขตลอดการเดินทาง และย้ำว่าหากต้องการความช่วยเหลือเรียกได้เสมอ ฉันยกมือไหว้ ยิ้มให้เธอ ดวงตายิบหยีจริงใจในเวลาเดียวกับที่ข่าวด่วนเมื่อครู่จบลงพอดี ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง มองเม็ดฝนที่เคลื่อนไหลหล่นลงช้าๆ บนบานกระจก ดีใจที่รอยยิ้มของฉันยังคงใช้ได้ผลเสมอมา