การรักษาด้วยภูมิต้านทานบำบัดโดยใช้ยาแอนติบอดี้ (antibody) หรือยาภูมิต้านมะเร็ง คือ “วิธีการรักษามะเร็งด้วยการใช้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์” ปัจจุบันกลายเป็นการรักษาหลักและความหวังของมนุษยชาติในการรักษาโรคมะเร็ง จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี 2018 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่ใครจะรู้บ้างว่าตัวยานี้เป็นเรื่องที่รู้จักกันดีในวงการแพทย์ทั่วโลกมาหลายปีแล้ว เพราะได้รับการจดสิทธิบัตรรับรองการใช้มาตั้งแต่ปี 2014 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกทั้งในประเทศไทยเองก็มีการศึกษาวิจัยยาตัวนี้มาตั้งแต่ปี 2016
หมอไต่ – อ.นพ.ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล หัวหน้าศูนย์ชีววิทยาเชิงระบบ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทีมผู้วิจัยยา กล่าวว่าพยายามสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญของยาภูมิต้านมะเร็งมากว่า 1 ปี แต่ยังไม่มีใครเข้าใจ จวบจนนักวิจัยเรื่องนี้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ประจำปี 2018 ประชาชนจึงเริ่มตระหนักถึงความสำคัญและรับรู้สิ่งที่ทีมวิจัยต้องการสื่อสาร
นพ.ไตรรักษ์อยากให้ประชาชนเห็นว่าภูมิต้านทานเป็นสิ่งสำคัญในการรักษามะเร็ง เนื่องจากภูมิต้านทานคือกลไกธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดขาวที่อยู่ในตัวเรา การที่เราป่วยเป็นโรคมะเร็ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภูมิต้านทานป่วย มะเร็งจึงเติบโตขึ้น ถ้าสามารถแก้ไขเรื่องภูมิต้านทานได้ ก็จะเป็นการแก้ไขที่ตรงจุด คือการให้กลไกธรรมชาติกลับไปฆ่ามะเร็ง ซึ่งเป็นการรักษาที่ได้ผลชะงัด ฉะนั้นผลการรักษาจึงยั่งยืนกว่า เพราะว่า 1. เป็นการใช้กลไกธรรมชาติ 2. เม็ดเลือดขาวต่างๆ ทำหน้าที่ค่อนข้างจำเพาะ มีความสามารถในการจดจำมะเร็ง เวลากำจัดจะฆ่าเฉพาะเซลล์มะเร็ง ไม่ฆ่าเซลล์ปกติ
จุดประสงค์ในการทำวิจัย มาจากตัวยาภูมิต้านมะเร็ง ที่ต่างประเทศรวมถึงในประเทศไทยมีการนำมาใช้รักษาแล้ว แต่มี
ราคาแพงถึงเข็มละ 2 แสนบาท อีกทั้งยังต้องฉีดอย่างต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายต่อคนนั้นตกประมาณ 8 ล้านกว่าบาท คนที่จะมีสิทธิเข้ารับการรักษาได้จึงต้องเป็นคนที่มีฐานะ ทว่าคุณหมอและทีมวิจัยตั้งเป้าหมายว่าอยากให้ “คนไทยทุกคน” มีสิทธิได้รับการรักษา หากการวิจัยนี้สำเร็จ ราคาต่อเข็มจะเหลือราว 2 หมื่นบาท และค่าใช้จ่ายต่อคนจะตกประมาณ 7 แสนบาท นพ.ไตรรักษ์พูดถึงการรักษาว่า “ยาภูมิต้านมะเร็งทำให้เซลล์มะเร็งยุบตัวลง บางคนหายไปเลยก็มี เราต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะตรวจไม่เจอเซลล์มะเร็งหรือให้อาการสงบลง ยาตัวนี้ช่วยควบคุมโรค อาการหนักเบาแล้วแต่ปัจจัยส่วนบุคคล ทั้งภูมิต้านทานในร่างกาย ระยะของมะเร็ง โรคแทรกซ้อน และสิ่งแวดล้อมอีกหลายอย่าง จึงต้องติดตามอาการอยู่เรื่อยๆ ในคนไข้มะเร็งหลายชนิดที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่นแล้ว แต่ถ้าให้ยาก็อาจมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น”

สิ่งที่ทีมวิจัยของศูนย์ชีววิทยาเชิงระบบกำลังวิจัยอยู่นั้น เป็นแนวคิดที่ต่อยอดจากรางวัลโนเบล ว่าโรคมะเร็งมีกลไกที่คอยยับยั้งเม็ดเลือดขาวไม่ให้ทำงาน คือโปรตีน PD-1 บนเม็ดเลือดขาว และโปรตีน PD-L1 บนเซลล์มะเร็ง เมื่อโปรตีนทั้งสองจับคู่กันจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานไม่ได้ ไม่ฆ่าเซลล์มะเร็งเพราะคิดว่าเป็นเซลล์ปกติ เราต้องหาวิธียับยั้งไม่ให้สองตัวนี้จับคู่กัน ตัวยาที่กำลังทำวิจัยจึงเป็นตัวที่เข้าไปแยกคู่ การแยกคู่สามารถแทรกได้หลายมุม แต่ต้องปรับเปลี่ยนไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน เพื่อไม่ให้ตัวยาเหมือนยาต้นแบบมากเกินไปเนื่องจากปัญหาด้านลิขสิทธิ์ นพ.ไตรรักษ์กล่าวว่า “สิทธิบัตรมีการจดรหัสไว้ ว่าสูตรยาจะต้องรหัสตามนี้ ถ้าเราทำเหมือนเขาก็จะโดนฟ้อง เราจึงต้องหลบไม่ให้เหมือนต้นแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ และยังคงใช้ได้ผล ตราบใดที่ตัวยาสามารถแยกโปรตีนสองตัวนี้ออกจากกัน”
ปัญหาและอุปสรรคในการทำวิจัยคือเรื่องงบประมาณและความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นความยากของโครงการ ทีมงานใช้
เทคโนโลยีขั้นสูงในการวิจัย แต่โอกาสที่จะสำเร็จก็ไม่ได้มี 100 เปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างมีความเสี่ยง ทีมงานจึงลดทอนความเสี่ยงด้วยการพยายามพัฒนาต้นแบบให้ได้หลายๆ ตัว เนื่องจากถ้าสร้างต้นแบบได้เยอะ โอกาสที่จะสำเร็จย่อมมีมากกว่า เพราะฉะนั้นการวิจัยนี้แม้จะจบการสร้างต้นแบบในระยะที่ 1 (ผลิตยาแอนติบอดี้ต้นแบบจากหนู) ไปแล้ว แต่ทีมวิจัยก็ยังคงผลิตต้นแบบต่อไปควบคู่กับการพัฒนาในระยะที่ 2 (ปรับปรุงแอนติบอดี้ให้มีความคล้ายกับมนุษย์และเพิ่มประสิทธิภาพ) และระยะที่ 3 (การผลิตในปริมาณมากจากโรงงาน) ระยะที่ 2 และ 3 นั้นต้องใช้เงินทุนสูง ทางศูนย์วิจัยฯ จึงขอความช่วยเหลือระดมทุนจากภาคประชาชนเพื่อทำการวิจัยต่อนพ.ไตรรักษ์อยากให้ประชาชนเข้าใจว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ยาก มีความเสี่ยง และต้องใช้ระยะเวลานาน ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน แต่ถ้าไม่มีใครเริ่มต้นทำ โครงการก็ไม่อาจเกิดขึ้น จึงอยากให้ทุกคนสนับสนุนให้กำลังใจกัน “งานวิจัยสมัยใหม่ต้องทำงานเป็นทีมเวิร์ก ไม่สามารถสำเร็จด้วยคนใดคนหนึ่งได้ เราเป็นเพียงตัวแทนที่มีองค์ความรู้และมาปฏิบัติงาน แต่แท้จริงแล้วโครงการนี้ถือเป็นโครงการของคนไทยทุกคน ไม่ว่าใครบริจาคเงินเท่าไร เรานับเป็นทีมเราทั้งหมด ถ้าทุกคนเข้าใจและคอยสนับสนุน ก็ช่วยให้เรามีกำลังใจและทำสำเร็จได้ แม้โครงการจะยากและมีความเสี่ยง แต่พวกเราจะเดินไปด้วยกัน ฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน”