เมื่อเราดูนัยน์ตาของเราเองหรือสัตว์ ย่อมอดคิดไม่ได้ว่ามันถูกประดิษฐ์ขึ้นมาแน่นอน เพราะโครงสร้างซับซ้อนเช่นนี้ ไม่น่าเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

นัยน์ตามนุษย์ซับซ้อนกว่านาฬิกาเสียอีก จนคนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่ธรรมชาติสร้างมันขึ้นมาเอง น่าจะมีอำนาจบางอย่างออกแบบมันขึ้นมา แล้วโยงเข้ากับเรื่องผู้สร้าง หรือพระเจ้า หรืออำนาจบางอย่าง

นี่เป็นภาพลวงตาใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของมนุษย์ เนื่องจากคนส่วนใหญ่สรุปเรื่องนี้ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยหลักฐาน

หลักฐานอะไร? มีหลักฐานด้วยหรือ?

หลักฐานก็คือฟอสซิล เป็นหลักฐานว่านัยน์ตาเป็นอวัยวะที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเองจริง ผ่านกาลเวลายาวนานหลายร้อยล้านปี

จริงหรือ? เรามีตาได้อย่างไร? มันเริ่มมาอย่างไร?

การทำงานของนัยน์ตาเกี่ยวข้องกับแสง เริ่มที่ผิวหนังบางส่วนค่อยๆ มีเซลล์ที่เป็น photoreceptor cells รับแสงแล้วแปลงค่าเป็นภาพ เหมือนการเล่นกล้องถ่ายรูปกล่องสมัยเด็ก เจาะรูให้แสงเข้า นานๆ เข้า เนื้อเยื่อส่วนรับแสง-แปลงภาพก็บางลง ค่อยๆ พัฒนาเป็นนัยน์ตา

คำว่า “นานๆ เข้า” คือเวลาเป็นล้านๆ ปี ในช่วงเวลาอันเนิ่นนานนี้ระบบการรับแสง-แปลงภาพผ่านการปรับแก้ๆ จนที่สุดก็กลายเป็นนัยน์ตา

นัยน์ตาแรกเกิดขึ้นในน้ำ ดังนั้นมันจึงรวมค่าหักเหของแสงในน้ำเข้าไปด้วย นักวิทยาศาสตร์พบว่าเมื่อสัตว์น้ำกลายเป็นสัตว์บก คุณสมบัติส่วนนี้ยังไม่ได้ปรับแก้สมบูรณ์ นัยน์ตาสัตว์บกจึงยังสู้สัตว์น้ำไม่ได้

นัยน์ตาแบบซับซ้อนปรากฏขึ้นในช่วงต้นๆ ของยุคที่เรียกว่า The Cambrian Explosion ยุคที่ชีวิตบนโลกมีความหลากหลายมากที่สุดยุคหนึ่ง

นัยน์ตาผ่านวิวัฒนาการให้เหมาะกับหน้าที่ใช้สอยของสัตว์แต่ละชนิด แต่ละสิ่งแวดล้อม แต่ละยุค ความคมชัด ระยะทางที่มองเห็นปริมาณแสงมากน้อย และสีที่ตาเห็น

แน่ละ ต่อให้มีหลักฐาน หลายคนก็ยังไม่อยากเชื่อ เพราะมันใกล้เคียงกับคำว่า “เป็นไปไม่ได้” มาก

แต่หลักฐานในฟอสซิลไม่ได้โกหกเรา มันบอกว่า นัยน์ตาไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแบบเสกสร้างจากศูนย์ แต่ผ่านกระบวนการที่ใช้เวลายาวนาน สร้าง-เปลี่ยน-แก้-ปรับไปทีละขั้น จากความเรียบง่ายและค่อยๆ ทวีซับซ้อน นัยน์ตาผ่านวิวัฒนาการมาทีละนิดๆ

นี่บอกว่า หากให้เวลายาวพอ ก็สามารถสร้างเรื่องที่ดู “เป็นไปไม่ได้” ได้

หากนี่ฟังดูแปลก ก็ยังมีเรื่องแปลกกว่านี้คือ การถือกำเนิดของนัยน์ตาไม่ได้เริ่มครั้งเดียว แล้วผ่านวิวัฒนาการแยกสายเป็นนัยน์ตาชนิดต่างๆ มันเกิดขึ้นเอกเทศหลายครั้ง ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ได้ผลคล้ายกัน

คนจำนวนมากคิดว่าการกำเนิดนัยน์ตาเป็นเรื่องประหลาด มหัศจรรย์ และคิดว่ามือเท้าของเราเป็นเรื่องไม่แปลก ทั้งที่มือเท้าน่าอัศจรรย์ไม่แพ้นัยน์ตา

หากเรารู้ที่มาของมือเท้าของเรา อาจต้องร้องอุทานว่า ประหลาดเหลือเกิน เพราะมือเท้าของมนุษย์เคยเป็นครีบปลามาก่อน

ใช่ มนุษย์เคยเป็นปลามาก่อน ครีบปลาผ่านวิวัฒนาการจนเป็นมือเท้าของเรา

สภาพร่างกายมนุษย์ในวันนี้เป็นผลจากวิวัฒนาการมาหลายร้อยล้านปี

เช่นกัน หลักฐานอยู่ในฟอสซิล

 

เรายังมีภาพลวงตาอีกอย่างหนึ่งคือ คิดว่าการมองเห็นต้องใช้นัยน์ตา

ที่จริงมีสิ่งมีชีวิตหลายสายพันธุ์ที่สามารถ “มองเห็น” โดยไม่ใช้นัยน์ตา

ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือค้างคาว

ค้างคาวตาบอด แต่สามารถบินไปไหนมาไหนเหมือนมีตา และอาจจะมีประสิทธิภาพสูงกว่านัยน์ตาเราด้วยซ้ำ

มันใช้ระบบ echolocation หลักการคือส่งคลื่นเสียงออกไป เมื่อกระทบกับสิ่งแวดล้อม มันจะสะท้อนกลับมา ประสาทของสัตว์ก็อ่านค่าสะท้อน ซึ่งจะบอกว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร

หากนัยน์ตาทำงานโดยใช้แสงเพื่ออ่านสภาพของตัว echolocation ก็ใช้เสียง และอ่านค่าได้เหมือนกัน

ค้างคาวตาบอด แต่มองเห็น!

ฝรั่งมีสำนวน “as blind as a bat” หมายถึงคนที่ไม่อยากรับความจริงที่เลวร้าย หรือปฏิเสธสิ่งที่เห็นต่อหน้าต่อตา เช่น มีหลักฐานชัดว่าโลกกลม ก็ยังบอกว่าโลกแบน มีหลักฐานว่าโลกร้อน ก็บอกว่าไม่มี

บางทีเราเรียกคนที่มองแต่ไม่เห็นหรือไม่อยากเห็นว่า blind bat

เรามีนัยน์ตาที่ซับซ้อน คุณสมบัติยอดเยี่ยม ช่วยให้เราอยู่ในโลกนี้อย่างปลอดภัยขึ้น ขณะเดียวกันนัยน์ตาก็ทำให้เรามองเห็นความงามของโลก สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติ

จนอาจกล่าวได้ว่า ความงามเกิดจากนัยน์ตา!

ดังนั้นจึงน่าเสียดายที่คนจำนวนมาก “เสียของ” ไม่เคยแม้แต่มองอาทิตย์ ดวงจันทร์ ก้อนเมฆ นกบนกิ่งไม้ ไม่เคยเห็นดอกไม้ใกล้ตัว

ในการใช้ชีวิต บางคนมองไม่เห็นหนังสือดี มองไม่เห็นธรรมะ

มีตาแต่มองไม่เห็น

นอกจากนัยน์ตาที่มองโลกภายนอกแล้ว เรายังมีหัวใจที่มองโลกภายใน

บางคนมองไม่เห็นความดีของคนอื่น

มีความรู้แต่ไม่แปลงเป็นปัญญา ก็คือความมืดบอดทางปัญญาชนิดหนึ่ง

มีเครื่องมือมอง แต่ไม่ใช้ ก็เท่ากับไม่มีเครื่องมือ

เสียของที่พัฒนามาหลายร้อยล้านปีเปล่าๆ


winbookclub.com

เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/


เรื่องและภาพ: วินทร์ เลียววาริณ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่