-๗-
………….
อีกรุ่งเช้าที่ณพชัยเดินทางมาถึงคอนโดมิเนียมซึ่งมีศพคนตายขนาดมหึมานอนสงบอยู่ในห้องชั้นแปด ทันทีที่ชมนาดมาเปิดประตูรับเขาเข้าสู่ภายใน ช่างภาพหนุ่มก้มมองแผ่นกระดาษในมือของหญิงสาว ยังไม่ทันได้อ่านข้อความแรก ชมนาดก็ชี้ไปยังกระดานที่ติดไว้บนผนัง ข้อความซึ่งเขียนด้วยลายมือบนกระดาษขนาดเอสี่เกลื่อนไปทั่วราวกับแผ่นป้ายประท้วง
คอนโดไม่ใช่ที่เก็บศพ เอาศพออกไป
ให้เวลา 2 วัน ถ้าไม่นำศพออกไปจากอาคาร ญาติคนตายจะกลายเป็นศพ
เจ้าของร่วมทั้งหมดต้องไม่ยอมให้ห้องชั้นแปดห้องเดียวทำลายตึกทั้งหลัง
———
ณพชัยไล่สายตาไปตามแผ่นกระดาษที่ติดไว้ อ่านข้อความช้าๆ แล้วหันหน้าส่งยิ้มจางๆ ไปทางชมนาด รอยยิ้มของช่างภาพหนุ่มแฝงด้วยความขบขันแกมสมเพช ขณะสีหน้าของหญิงสาวทั้งเศร้าและหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่ยากคาดหมายในอนาคตอันใกล้
แผ่นกระดาษในมือแผ่กว้างเผยให้เห็นข้อความ
…ภายใน 24 ชั่วโมงถ้าไม่ย้ายศพออกจากตึก มีเรื่อง
ณพชัยมองผ่านแล้วไม่ออกความเห็นใดๆ ตามหญิงสาวเข้าไปในลิฟต์ และเมื่อถึงชั้นที่แปด เขาพยามใช้จมูกสัมผัสกลิ่นที่แปลกไปจากการมาครั้งก่อน ครั้นเห็นว่าทุกอย่างปกติ เขาปลอบหญิงสาวด้วยสายตา
ช่องทางเดินของตึกที่มีคนตายช่วงกลางวันเปล่าโล่ง แสงไฟจากเพดานยังเปิดสว่าง ครั้งก่อนณพชัยจำได้ว่าไฟทุกดวงถูกปิดลง แสงสว่างจากด้านนอกสองฝั่งส่องสาดให้เห็นรายละเอียดบนพื้นกระเบื้อง ช่วงกลางวันเจ้าของร่วมที่ต้องการประหยัดไฟจะผลัดกันปิดสวิตซ์ หลังเกิดเสียงลือหนาหูว่ามีคนเจอผีหลอกกลางวัน แสงไฟบนช่องทางเดินชั้นนี้จึงเปิดสว่างตลอดยี่สิบชั่วโมง
เสียงร่ำลือเรื่องผีและหญิงนิรนามในความมืดถูกเล่ากันปากต่อปาก อาณาจักรแห่งความหวาดกลัวขยายกว้างออกไป ดูเหมือนว่าคนตายที่นอนสงบอยู่ในห้องของตัวเธอเอง กลายเป็นฝ่ายก่อความไม่สงบไม่เว้นแต่ละคืน คุกคาม บุกรุก คอยแลบลิ้นปลิ้นตาตามหลอกหลอนไม่ลดละ เล่นเอาเหล่าคนเป็นทั้งมวลไม่สงบสุขในการใช้ชีวิต
ณพชัยทักทายสุพรรณิการ์ด้วยถ้อยคำในใจ ขณะกวาดสายตามองผ่านเรือนร่างมหึมา คลื่นแห่งความเศร้าเหมือนจู่โจมกระทบหัวใจ เขายกมือไหว้สมพล ส่งยิ้มให้พวงชมพู ชั่วเสี้ยวนาทีที่ประสานสายตากับเด็กหญิงตัวน้อย ใบหน้าที่ดูเหมือนนิ่งเฉยของอีกฝ่าย บวกกับแววตาที่ซ่อนความฉลาดล้ำลึก อ่านคนได้ทะลุปรุโปร่ง ณพชัยคุ้นเคยกับสีหน้าและแววตาเช่นนี้ พวงชมพูถอดแบบฉบับจากพี่สาวคนโตของเธอได้เกือบหมดจด เขาหุบยิ้มแล้วเอื้อมมือไปจับหัวเธอกดเบาๆ ก่อนเดินตามชมนาดออกไปยังระเบียง
เขาก้มมองต่ำลงไปยังสวนหย่อม สระว่ายน้ำ แล้ววกกลับมาไล่สายตาไปตามสันกำแพงที่ฝังด้วยเศษแก้วและเสริมด้วยลาดหนาม ก่อนมาเขาค้นหาข้อมูลบางส่วนของโรงแรม เจ้าของเป็นนักการเมือง ซึ่งเคยโด่งดังตั้งแต่วัยหนุ่ม ดำรงตำแหน่งสูงสุดเป็นถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำต้องหันหลังให้เวทีการเมืองหลังพรรคสังกัดถูกยุบ แถมถูกตัดสิทธิ์ลงเลือกตั้งเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งประเทศตกอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร นักธุรกิจหมื่นพันล้านมุ่งมั่นกับการค้าและขยายการลงทุนในธุรกิจของตน
“มีคนบอกให้ผ่าพี่สุแยกส่วนแล้วเคลื่อนย้ายออกไป” ชมนาดซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ณพชัยกล่าวขึ้น
“คนที่พูดไม่มีหัวใจ และก็จิตใจโหดร้ายเกินมนุษย์ปกติจะคิดกัน” ณพชัยพูด
“เขาอาจนัดกันมาล้อมห้องเรา แล้วยื่นคำขาดบีบบังคับ เหมือนตอนที่เอาป้ายกระดาษมาติดหน้าห้อง” ชมนาดพูด
ณพชัยผายมือ “พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ถ้าใครมาปิดล้อม แจ้งตำรวจได้เลย”
กองไม้และเครื่องมือช่างวางรวมกันชิดขอบผนัง สมพลยังไม่ได้ประกอบกันขึ้นเป็นโลงศพ แกไม่แน่ใจสถานการณ์ข้างหน้า เรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้ไม่หยุด ยิ่งความคิดและจิตใจผู้คนแกก็ยิ่งไม่กล้าคาดเดาอะไรอีก
“ถ้าหย่อนลงไปตรงนี้” ณพชัยชี้นิ้วข้ามกำแพง “ก็ต้องดึงลงไปตรงลานโน่น เอารถมาจอดรอไว้ แต่ต้องใช้ทั้งกำลังคนและเครื่องมืออื่น”
“ฉันก็คิดเหมือนคุณ” สมพลมองข้ามราวระเบียงไปในทิศทางเดียวกัน “แต่เจ้าของโรงแรมไม่ยอม เขากลัวจะเป็นทางศพผ่าน กระทบต่อธุรกิจเขา”
“อาสมพลจะยอมผ่าศพตามที่เขาบอกไหมครับ” ณพชัยถาม
สมพลอึ้งไปชั่วครู่แล้วถอนหายใจเบาๆ “ฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเอายังไง”
“ผมจะไปคุยกับทางโรงแรมดูอีกครั้ง” ณพชัยว่า เขาหมายถึงพูดคุยกับคนที่มีอำนาจตัดสินใจแทนเจ้าของโรงแรมจริงๆ
เสียงรองเท้าหลายคู่กระทบพื้นกระเบื้องดังใกล้เข้ามา ตามด้วยเสียงเคาะประตู ทั้งเสียงฝีเท้าและสันมือที่กระทบแผ่นไม้ของประตูแฝงไปด้วยกระแสคุกคาม ชมนาดกับสมพลมองหน้ากันไปมา
“เปิดประตูหน่อยครับ ผม-สมเจตต์ ผู้จัดการคอนโด มีเรื่องอยากหารือ”
ณพชัยโบกมือห้ามชมนาด หันไปสบตากับสมพลครู่หนึ่ง ทำทีเป็นผู้อาสาไปรับหน้าแขกผู้มาเยือนด้วยตัวเอง ชมนาดดึงร่างเล็กๆ ของน้องสาวเดินหายเข้าไปยังส่วนของห้องนอน
ช่างภาพหนุ่มไม่ได้เปิดประตูรับกลุ่มผู้มาเยือนซึ่งมีทั้งสมเจตต์ ผู้จัดการใหญ่ ภมร อรพรรณ และชายฉกรรจ์อีกสามราย เขาพร้อมสมพลเปิดประตูก้าวออกไปรับหน้าที่ช่องทางเดิน หับประตูไว้แล้วยืนหันหลังพิงไว้
ผู้จัดการใหญ่แนะนำตัว เขาจำสมพลได้และรู้ว่าเป็นพ่อผู้ตาย แต่ณพชัยทำให้เขารู้สึกแปลกใจ รอยยิ้มใต้ดงหนวดจางๆ ฉายขึ้นอย่างคนที่พร้อมจะเจรจาทางการทูต
“คุณคงเป็นพ่อเจ้าของห้องชุด” เขาทักทายสมพล รอจนอีกฝ่ายพยักหน้าจึงว่าต่อ “ทางเจ้าของร่วมอื่นๆ กำลังจะชุมนุมกัน ทางผมก็ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งอะไรขึ้น มันจะดูไม่ดี ผมจึงมาถามว่ามีทางอื่นใดไหมที่คุณจะจัดการกับปัญหาได้เร็วที่สุด”
ช่างไม้ซึ่งไม่คุ้นเคยกับการเจรจาหันไปทางณพชัย ช่างภาพหนุ่มขยับตัวเบาๆ
“ปัญหาของเรานะครับ” ณพชัยพูด “ไม่ใช่ปัญหาของคนอื่น เราจะจัดการได้ช้าหรือเร็ว อันนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องภายในของครอบครัวเรา เจ้าของร่วมอื่นๆ ไม่เกี่ยว ทางนิติเรียกประชุมสองรอบ มติก็ออกมาตามนั้น ทางเราก็ให้ความเคารพด้วยดี”
ไม่เพียงสมเจตต์ที่หันไปจ้องหน้าณพชัย อรพรรณตวัดตามองเป็นจุดเดียว และเท้าข้างหนึ่งของหล่อนก็ขยับ
“คุณเป็นใคร” อรพรรณถามด้วยน้ำเสียงกึ่งตะคอก
ณพชัยไม่มีทีท่าตื่นตระหนก เขาหันไปสบตากับสมพลแล้วผงกหัวยิ้มๆ
“พ่อผมยืนอยู่นี่แล้ว ผมเป็นใครไม่สำคัญหรอกครับ สำคัญตรงที่พวกคุณเป็นใคร มาเคาะประตูห้องผม และเรียกผมกับพ่อออกมาด้วยจุดประสงค์อะไร”
อรพรรณ นิลเขียว แม้มีวัยเพียงสี่สิบหกปี รูปร่างดูสมส่วน แต่ด้วยใบหน้าที่ถมึงทึงอยู่เป็นนิตย์ทำให้หล่อนดูแก่กว่าวัย ยิ่งน้ำเสียงที่ดูห้าวอย่างคนเคยชินกับการออกคำสั่ง ยิ่งทำให้หล่อนแก่ขึ้นไปอีก
“ฉันก็เป็นเจ้าของร่วมคนหนึ่งที่เกิดความไม่สบายใจ ขอร้องผู้จัดการคอนโดและนิติบุคคลมาที่นี่เพื่อออกคำสั่งให้พวกคุณขนย้ายศพออกจากตึกภายในสองชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเราจะแจ้งความกับตำรวจ”
ณพชัยประสานสายตากับเจ้าของน้ำเสียงกร้าวและสีหน้ามึนตึง ส่ายหัวช้าๆ พลางถอนหายใจ “พวกคุณมีสิทธิ์ทำแบบนั้นด้วยหรือครับ แล้วตำรวจจะรับแจ้งความพวกคุณด้วยข้อกล่าวหาอะไร”
สมเจตต์ น้อมอารีพูดพร้อมวาดมือข้างหนึ่ง “ทำไมเราจะไม่มีสิทธิ์ ผมได้รับเลือกจากเสียงส่วนใหญ่เจ้าของร่วมให้เป็นผู้จัดการ ผมมีอำนาจทำตามมติที่ประชุม”
อรพรรณสำทับ “ข้อกล่าวหาอะไรหรือคุณ รบกวนความสงบสุขของส่วนรวมไง”
ไม่เพียงสีหน้าสมพลที่แสดงออกถึงความขมขื่นใจ ณพชัยโคลงหัวมาไปพร้อมสีหน้าที่แสดงออกถึงความสมเพชทั้งต่อสมเจตต์และอรพรรณ
“จบการสวดอภิธรรมแล้วเราก็ไม่ได้จัดงานอะไรอีกเลย” ณพชัยว่า “เราหาทางแก้ปัญหาของเราเอง ไม่รู้พวกผมไปรบกวนความสงบสุขส่วนไหนของใคร”
“ศพจะส่งกลิ่นเหม็น” อรพรรณชี้ “และถ้ามีน้ำเหลืองไหลลงไปห้องอื่น พวกคุณจะรับผิดชอบยังไง”
ณพชัยสวนกลับทันที “คุณอย่าเอาเรื่องที่ยังไม่เกิด หรือคาดว่าจะเกิดมาตัดสินคนอื่นสิครับ ไม่มีกฎหมายข้อไหนสามารถเอาผิดเรื่องที่ยังไม่เกิด หรือที่คาดคิดเอาเองว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต พวกคุณยกโขยงกันไปแจ้งความก่อนก็ได้นะครับ ผมจะได้ชี้แจงให้คนเข้าใจกฎหมายอย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ง่ายกว่านี้”
กลุ่มคนทั้งหมดพากันล่าถอย ทันทีที่กลับเข้าห้องและหับประตูปิดลง สมพลจับมือณพชัยบีบแรงๆ เป็นเชิงขอบคุณ ชมนาดยืนคู่พวงชมพูด้วยสีหน้ากังวล ทั้งสองได้ยินเสียงโต้เถียงที่ดังจากข้างนอกทุกประโยค
ณพชัยขยับปากจะพูดขอโทษที่เขากล่าวอ้างอะไรไป ครั้นสบตากับชมนาดซึ่งหายตื่นตระหนกแล้ว และจ้องดูเขาด้วยแววตาขบขันเล็กๆ ช่างภาพหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่อง
“เราน่าจะไปเที่ยวโรงแรมกันสักสองชั่วโมง”
ชมพูพันทิพย์สองฟากทางสลัดช่อดอกปลิดร่วงลงหนักกว่าตอนมาครั้งแรก ทั้งช่องทางเดินและพื้นถนนเกลื่อนไปด้วยสีชมพู ย่างเท้าของชมนาดดูเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าครั้งก่อน คราวนี้พ่อกับน้องสาวไม่ได้มาด้วย ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่เคียงข้างฉลาดและกล้าหาญผิดไปทางสีหน้าที่ดูสงบในยามปกติ และพูดน้อยเหมือนจะโต้แย้งกับใครไม่เป็น
“พี่ณพ” ชมนาดเดินช้าลง “มาครั้งก่อนกับพ่อ ได้พบแค่ผู้จัดการและเขาก็ไล่เรากลับ”
ณพชัยหยิบกล้องถ่ายรูปจากกระเป๋าสะพายข้างมาห้อยคล้องคอ “คราวนี้อาจได้พบแค่ผู้จัดการเหมือนเดิม แต่เขาจะพูดกับเราดีขึ้น และไม่ไล่เรากลับ”
“เขาจะทำตามที่เราร้องขอไหมคะ”
ณพชัยส่ายหน้า “คงไม่ เขาไม่มีอำนาจตัดสินใจ”
“งั้นเราก็เสียเที่ยวเปล่าสิคะ”
“ไม่เสีย อีกไม่นานเราจะเข้าถึงเจ้าของโรงแรมตัวจริง”
“พี่ณพฉลาด ช่างวางแผน”
ช่างภาพหนุ่มขยับเท้าเร็วขึ้น พูดเบาเหมือนกระซิบ “คราวนี้ เราแค่มายืนยันในเรื่องที่เล่าไป ว่าปัญหาที่เราประสบอยู่นี้ เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิทานโกหก”
……………………………………
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป