รางวัลพานแว่นฟ้าเป็นรางวัลที่ริเริ่มโดยรัฐสภาเมื่อ พ.ศ.2545 เพื่อมอบแก่เรื่องสั้นและบทกวีการเมือง และดำเนินงานมาเป็นเวลา 17 ปี แล้ว นับเป็นรางวัลวรรณกรรมรางวัลหนึ่งซึ่งมีสถานะโดดเด่นในพื้นที่วรรณกรรมไทยมากขึ้นตามจำนวนปีที่ผ่านไป
ในการประกวดต้นฉบับเรื่องสั้น รางวัลพานแว่นฟ้า พ.ศ.2562 มีเรื่องสั้นส่งเข้าประกวด 364 เรื่อง ผ่านการคัดเลือกและตัดสินจากคณะกรรมการสองชุด เรื่องที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ คือเรื่อง โลกที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง ของ โศภนิศ นามสิริ ส่วนรางวัลรองชนะเลิศ คือ ซอยตัน ของ ปาริชาติ คุ้มรักษา และ ปลากัดลายธงชาติ ของ อุเทน พรมแดง ในการประกวดแต่ละปี ใช่จะมีแต่นักเขียนมือเก๋าที่คว้ารางวัล แต่มักจะมีนักเขียนหน้าใหม่หรือมีผลงานไม่มากนักได้รับรางวัลและอาจจะเป็นรางวัลใหญ่ด้วย ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน คุณโศภนิศ นามสิริ ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ เป็นอดีตข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ส่วนผู้ได้รับรางวัลชมเชย หลายคนเป็นนิสิตนักศึกษา
เรื่อง “โลกที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง” เป็นเรื่องสั้นที่ใช้ฉากในประเทศตูนิเซียซึ่งมีเหตุการณ์ความวุ่นวายจากการที่ประชาชนประท้วงและต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรง นักปฏิวัติประชาชนหลายพวกหลายเหล่าต่างจัดชุมนุม แถลงข่าว แถลงการณ์ ยื่นข้อเสนอ ฯลฯ มีการประท้วง ปะทะ ที่นั่นที่นี่ เสียงปืน เสียงระเบิด ดังก้องเมืองทุกเมื่อเชื่อวันยาวนานหลายปี และยอดผู้เสียชีวิตก็ทวีจำนวนขึ้นอย่างน่าตกใจ กว่าครึ่งเรื่องที่ผู้เขียนฉายภาพให้เราเห็นตูนิเซียในภาวะมิคสัญญี แต่ในขณะเดียวกันสงครามในตูนิเซียก็กลับฟื้นภาพจำถึงเหตุการณ์การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทยช่วงก่อนการปฏิวัติของ คสช. และกระตุ้นให้ตระหนักว่าเราไม่อยากให้คนในชาติรบราฆ่าฟันกันเป็นสงครามการเมืองเช่นที่เคยเกิดขึ้นอีกแล้ว
จากการทำหน้าที่ดูแลคนไทยในตูนิเซีย ตัวละคร “ฉัน” และครอบครัวจึงตกอยู่ในวิกฤตการณ์ของสงครามกลางเมืองเช่นกัน เขานึกถึงความปรารถนาของพ่อผู้อยากให้เขาเป็นนักดนตรีมากกว่าเป็นนักการเมือง แต่เขาไม่ยอมเพราะคิดว่าเพลงนับร้อยเพลงของพ่อนั้น “สอน สั่ง และสวยเกินไป มีแต่คำงาม คำกวี ไม่มีคำดิบๆ ด่วนๆ ไม่มีท่อนฮุค ไม่มีคนอกหัก ไม่มีความสลดหดหู่ ไม่มีผู้ถูกกระทำ ไม่มีความเหลื่อมล้ำ…” ส่วนคนรุ่นลูกรุ่นหลานก็วิจารณ์เพลงของพ่อว่า “เป็นเพลงเพื่อชาติ (หน้า) เพลง ‘โลกสวยยุคไดโนเสาร์’ เพลงที่ไม่มีเสียงแห่งยุคสมัย” การสนทนากับพ่อหลังรอดชีวิตทำให้เขามองเห็นว่าการเมืองและดนตรีมีฐานความคิดอย่างเดียวกัน นั่นคือ การเมืองและดนตรีต้องมีความสมดุลระหว่างความขัดแย้งกับเอกภาพ การเมืองและดนตรีต้องควบคุมได้ การเมืองและดนตรีมีกฎกติกา แต่ก็ “ด้น” ได้โดยอยู่ในขอบเขต ไม่ใช่ว่า “เข้ารกเข้าพง เล่นกันคนละเพลง” การเมืองและดนตรีมีทั้งเสียงและความเงียบ ใช่จะ “เอาแต่ร้องตะเบ็งเซ็งแซ่แช่งชักกันไปไม่หยุดหย่อน มีแต่คนอยากพูดแต่ไม่มีคนอยากฟัง”
เรื่องสั้นชนะเลิศรางวัลพานแว่นฟ้าเรื่องนี้สะท้อนภาพความยุ่งเหยิงของการเมืองไทยหลังเลือกตั้ง พ.ศ.2562 ซึ่งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านยังต่างฝ่ายต่างเล่นคนละเพลง ไม่ได้ก้าวข้ามความต่างแล้วร่วมใจกันนำพาประเทศให้รอดพ้นหายนะ
ในขณะที่เรื่อง “โลกที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง” ใช้ภาพของแผ่นดินอื่นที่ไกลตัวสะท้อนภาพแผ่นดินไทย เรื่อง “ซอยตัน” ของปาริชาติ คุ้มรักษา ใช้ภาพใกล้ตัวของซอยเล็กๆ ในย่านใดย่านหนึ่งเพื่อสะท้อนภาพใหญ่ของสังคมไทย ซอยตันแห่งนี้เป็นที่อาศัยของชาวบ้านชั้นกลางระดับล่าง ผู้ใช้ชีวิตเสรีโดยไม่คำนึงถึงกฎหมายหรือกติกาการอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการรุกที่ดินว่างเปล่าเข้าไปปลูกต้นไม้ การเลี้ยงสัตว์ระบบเปิด การตั้งวงเหล้าร้องเพลงเล่นดนตรีและสังสรรค์ด้วยเสียงดังลั่นทุกเมื่อเชื่อวัน ตลอดจนการใช้พื้นที่สาธารณะเป็นแหล่งทำมาหากินและจอดรถ การละเมิดสิทธิของผู้อื่นนำไปสู่การวิวาทบาดหมางซึ่งบานปลายมากขึ้น จากความร้าวฉานเป็นความเกลียดชังและการแบ่งฝ่าย แต่หลังจากผ่านความทุกข์ยากร่วมกันในช่วงน้ำท่วม ชาวซอยตันกลับมาสมานฉันท์โดยระวังที่จะ “ไม่ก้าวข้ามเส้นที่มองไม่เห็น” และเปิดใจยอมรับความคิดต่างของเพื่อนร่วมซอย มองเห็นคุณค่าของการรับรู้ ยอมรับ แบ่งปันและพึ่งพาอาศัยกัน ความสุขสงบของชาวซอยตันจึงเกิดจากการให้อภัย อโหสิ และเอาใจเขามาใส่ใจเรา เรื่องราวของซอยตันจบลงด้วยดี ข้อความเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองที่ผู้เขียนตั้งใจหยอดไว้ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง เป็นสารแห่งความหวังว่าความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยคงจบสิ้นลงด้วยความสมานฉันท์เช่นกัน
เรื่อง “ปลากัดลายธงชาติ” ของอุเทน พรมแดง เป็นเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่งที่อ่านได้สองชั้น สารชั้นแรกเป็นเรื่องของการเพาะเลี้ยงปลากัดลายธงชาติเพื่อสร้างอาชีพ แม้ว่าจะซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่เขาเพาะไว้มาต่อยอด แต่การเพาะปลากัดลายธงชาติเพื่อขายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ผู้เขียนให้ความรู้ละเอียดทุกขั้นตอนจนเห็นภาพและเศร้าใจไปกับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ความยุ่งยากของการเพาะปลากัดลายธงไตรรงค์มีหลากหลาย แม้จะผ่านอุปสรรคเรื่องอาหาร อุณหภูมิของน้ำ ความสะอาดของน้ำ และเชื้อโรค ไปได้แล้ว ก็ยังพบว่าในครอกหนึ่งๆ มีลูกปลากัดลายธงชาติที่พอดูได้เพียงไม่กี่ตัว นอกนั้นเป็นพวกต้องคัดทิ้ง ถึงกระนั้น ปลากัดคัดทิ้งก็ยังไล่กัดกันเองตามสัญชาตญาณจนตายเกือบหมด โดยไม่รู้ว่าชีวิตเล็กๆ ของมันยังมีสัตว์ร้ายอย่างงู กบ และปลาใหญ่คอยจ้องกินอยู่ สารชั้นแรกนี้นำไปสู่สารชั้นที่สอง นั่นคือการให้ข้อคิดว่า การสร้างชาติให้ดำรงอยู่อย่างสง่างาม โดดเด่น เหมือนปลากัดลายธงชาติที่มีลายและสีสมบูรณ์ ต้องประสบอุปสรรคยากลำบากแสนสาหัส ทั้งจากปัจจัยภายนอกที่คอยบ่อนทำลายและปัจจัยภายในคือประชาชนคนในชาติที่คอยบั่นทอน ดังที่ผู้เขียนส่งสารเป็นนัยว่า สัญชาตญาณดิบเถื่อนไม่เพียงทำลายชีวิตเพื่อนร่วมชาติแต่ยังทำลายชาติด้วย
เรื่องสั้นทั้งสามเรื่องที่ได้รับรางวัล มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่ก็มีจุดร่วมที่นำเสนอเรื่องความขัดแย้งของคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นสงครามกลางเมืองในตูนิเซีย การทะเลาะวิวาทของชาวบ้านในซอยตัน หรือการกัดกันเอาเป็นเอาตายของปลากัดครอกเดียวกัน ซึ่งล้วนเป็นประเด็นสำคัญที่บั่นทอนความสงบสุขและสันติภาพในชาติของเรา เมื่อไรจะคำนึงว่าเราเล่นดนตรีวงเดียวกันแม้จะต่างชนิด เมื่อไรจะคิดว่าเราคือเพื่อนบ้านในซอยเดียวกัน เมื่อไรจะเห็นว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกันและมีชาติเป็นเป้าหมายสูงสุด คำถามเหล่านี้มีคำตอบอยู่ในใจของทุกคน เพียงแต่จะลงมือทำให้เป็นจริงได้เมื่อไร
เรื่องเล่าของนักเขียนนั้นมีพลังต่อผู้อ่านตั้งแต่สะท้อนภาพให้เห็น กระตุ้นเตือน จนถึงปลุกจิตสำนึก ตลอด 17 ปีของการจัดประกวดรางวัลพานแว่นฟ้า วรรณกรรมที่ส่งเข้าประกวดได้สะท้อนภาพทิศทางของการเมืองไทยเป็นระยะ อย่างเช่นในปีนี้นักเขียนส่วนใหญ่นำเสนอเรื่องการปรองดอง ความสมานฉันท์ การลดละความแตกแยก และการยึดมั่นในความสงบสุขของคนในชาติเป็นเป้าหมายสำคัญ รางวัลพานแว่นฟ้าเป็นเวทีเดียวที่เปิดเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองผ่านวรรณกรรม จำนวนของเรื่องสั้นและบทกวีที่ส่งเข้าประกวดชิงรางวัลพานแว่นฟ้าเพิ่มขึ้นทุกปี นับว่าเป็นสัญญะที่บ่งบอกความอัดอั้นในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในสังคมไทยที่ถูกปิดกั้นและตรวจสอบ ดังนั้น การที่รัฐสภาจัดการประกวดให้รางวัลแก่วรรณกรรมการเมืองอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นทางออกที่ดีทั้งในเชิงสังคมการเมืองและการสร้างพัฒนาการของวรรณกรรม
เรื่อง: ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธุ์