“ลองปล่อยให้ ‘บทสนทนา’ พาคุณไป” คือคำโปรยบนปกหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อ Abstract bar ผลงานของนักเขียนสาววัย 20 ต้นๆ ที่ติดท็อปเท็น หนังสือขายดีของร้านหนังสืออิสระ ไม่ว่าจะเป็นร้านก็องดิด ร้านบุ๊คโมบี้ หรือเว็บไซต์ Readery มาต่อเนื่องหลายเดือน ตอกย้ำความนิยมด้วยงานเขียนเล่มที่ 2 ไม่มีใครเป็นเจ้าของดวงอาทิตย์ แม้หนังสือจะวางขายมาแล้วเป็นปีแต่ตำแหน่งหนังสือขายดีก็ยังไม่สั่นคลอน “ปอ เปรมสำราญ” หรือ “นัทธมน เปรมสำราญ” พาคุณผู้อ่านดื่มด่ำกับบทสนทนาสั้นๆ แต่ลงลึกในความรู้สึก “น้อยแต่มาก” คงจะเป็นวลีที่อธิบายงานเขียนของเธอได้ใกล้เคียงที่สุด ลองเข้าไปสัมผัสตัวตน ความคิด และความสัมพันธ์ (เธอบอกว่า “ทุกคนล้วนมีความสัมพันธ์ที่บอกใครไม่ได้”) ใน Abstract bar บาร์ที่เสิร์ฟความจริงเพียวๆ ของเธอกัน

จากบทละครสั้นๆ ที่โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย กลายมาเป็นหนังสือเล่มได้อย่างไร
ปอ : ปอเริ่มเขียนด้วยความตั้งใจให้เป็นบทละครเวที ส่วนตัวเรียนเอกศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปอคิดแค่ว่าถ้าเขียนแล้วเข้าท่าจะขอครูทำเป็นละครเวที ดังนั้นรูปแบบงานจึงออกมาเป็นบทสนทนา ไม่มีการบรรยายฉาก เพราะบทละครไม่จำเป็นต้องสื่อสารกับคนอ่านขนาดนั้น ตัวบทจึงสั้นกระชับ พอเขียนแล้วโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ก ทางสำนักพิมพ์มาเห็นเข้า จึงติดต่อขอนำไปพิมพ์เป็นเล่มกลายเป็น Abstract bar เล่มแรกปกสีขาว ตามมาด้วย ไม่มีใครเป็นเจ้าของดวงอาทิตย์ ระหว่างนั้นเกิดโชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้ เรื่องสั้นที่ชื่อ “ผมอ่านมาเกซตอนอายุ 25” กลายเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ ทำให้คนสนใจและตามอ่านรวมเล่ม กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมา ทำให้มีการตีพิมพ์ Abstract bar ใหม่ โดยเพิ่มบางตอนเข้าไป เป็นเวอร์ชันปกสีดำค่ะ
แนวคิดเบื้องหลังงานเขียนของเรามาจากไหนบ้าง
ปอ : Abstract bar คือเรื่องกลั่นจากตัวเองล้วนๆ ทั้งสิ่งที่ปอเป็นและสิ่งที่อยากเป็น คนที่รู้จักปอเป็นการส่วนตัวจะบอกว่า เฮ้ย เอาตัวเองเป็นนางเอกทุกเรื่องเลยนะ นั่นเพราะคุณคิดไปเองว่าภาพปอเป็นอย่างนั้น พอมาเล่มสอง ไม่มีใครเป็นเจ้าของดวงอาทิตย์ เป็นเรื่องของคนอื่นที่เราพบเจอแล้วนำมาถ่ายทอดตามแนวทางของเรา ส่วนใหญ่ได้มาจากสเตตัสในเฟซบุ๊ก ปอเห็นบางคอมเมนต์แล้วจินตนาการต่อว่าคนที่ตอบแบบนี้เขาจะเป็นคนลักษณะไหน จึงสร้างเรื่องราวเบื้องหลังตัวละครขึ้นมา
ความสัมพันธ์ในงานเขียนของปอค่อนข้างไม่ชัดเจน อึมครึม ให้อารมณ์สีเทา หม่นๆ และดูโตเกินวัย ปอได้มุมมองความรัก ความสัมพันธ์แบบนี้จากไหน ทำไมถึงสนใจรูปแบบความสัมพันธ์ลักษณะนี้
ปอ : อย่างแรกเลยน่าจะมาจากครอบครัว ชอบเล่าเพราะคิดว่าแปลกดี คุณพ่อคุณแม่ของปอต่างผ่านการแต่งงานและหย่าร้างมา มีลูกติดฝ่ายละหนึ่งคน ทั้งสองพบรักกัน จากนั้นจึงมีปอ ทั้งพ่อกับแม่ไม่ประสบความสำเร็จในการแต่งงานครั้งแรก เขาหวังว่าครั้งที่สองจะราบรื่น แต่ความสัมพันธ์กลับรักๆ เลิกๆ ปออยู่กับแม่ตลอด แต่พ่อจะมาๆ หายๆ เราไม่เคยถามว่าพ่อหายไปไหนมา ทุกวันนี้พ่อกับแม่อยู่กันคนละบ้านในขณะที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีคนใหม่ แต่มากินข้าวเย็นด้วยกันทุกวัน เป็นความสัมพันธ์ประหลาดๆ ปอเคยถามนะว่าเขายังอยู่ด้วยกันเพื่อเรารึเปล่า แต่แม่บอกว่าไม่ใช่ ความรู้สึกเหมือนเพื่อนกันมากกว่า เพราะฉะนั้นความรักความสัมพันธ์ในงานเขียนของปอน่าจะสะท้อนมาจากสิ่งที่ปอสัมผัส ปออยู่กับความรักที่ไม่ใช่รูปแบบมาตรฐานตามนิยาย เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์มีหลากหลายรูปแบบ
อีกส่วนน่าจะมาจากตัวเอง ยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ความสัมพันธ์งงๆ ซึ่ง ณ ตอนนั้นปอหลงใหลความสัมพันธ์แบบนี้เหมือนเราชอบคนนี้แต่ไม่อยากเป็นแฟนกับเขา ไปกินข้าวกันสองคน แชทหากันประจำ ทว่าไม่บัญญัติสถานะ ความอันตรายของความคลุมเครือคือเราไม่รู้ว่าช่วงไหนที่เข้มข้นหรือเจือจาง อีกทั้งยังไม่ต้องรับผิดชอบความรู้สึก ตอนเลิกราก็เสียใจแบบงงๆ เพราะอีกฝ่ายยืนยันว่าเราแค่เป็นเพื่อนกัน จะบอกว่าเลิกกับแฟนก็ไม่ใช่แฟน แต่ความเจ็บปวดระดับเดียวกับเลิกกับแฟน ทุกวันนี้ปอเลิกหลงใหลแล้วค่ะ ทำให้ชัดเจนดีกว่า
ไม่มีใครเป็นเจ้าของดวงอาทิตย์ ถือเป็นภาคต่อความรู้สึกจาก Abstract bar รึเปล่า
ปอ : จะว่าใช่ก็ใช่ ปอเขียนหลังจากที่ผ่านความสัมพันธ์คลุมเครือ คอนเซ็ปต์คือก้าวผ่านความเสียใจ คนอ่านอาจรู้สึกว่าก้าวผ่านแต่ก็เหมือนยังไม่ผ่าน ปอเขียนแล้วรู้สึกว่าเราทะลุความรู้สึกต่างๆ นะ ไม่มีใครเป็นเจ้าของใครได้ตลอดไป มันมีข้อเท็จจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น

ถ้าพูดถึงงานของ “ปอ เปรมสำราญ” ภาพในจินตนาการคือความรักความสัมพันธ์สีเทาๆ หม่นๆ มีโอกาสไหมที่จะได้เห็นงานสดใสสีพาสเทลจากปอ
ปอ : พี่ที่สำนักพิมพ์พูดตลกๆ ว่าไว้เขียนงานใหม่ตอนมีแฟนใหม่นะ ไม่นานมานี้ปอได้อ่านหยดน้ำหวานในหยาดน้ำตา ของคุณอุรุดา โควินท์ ปอคงเขียนแบบนั้นไม่ได้ จินตนาการถึงความรักมั่นคงแบบนั้นไม่ออกเลย คงไม่สามารถ เพราะมุมมองความรักเราต่าง ปออาจมองโลกในแง่ดีมีความหวังได้ แต่อย่างไรเสีย ข้อเท็จจริงที่ว่าความรักไม่คงอยู่ตลอดไปและจากลาได้นั้นอยู่ข้างใต้ตัวปอ และความรักในลักษณะนี้คือความจริง ยกตัวอย่าง เพื่อนปอมักมีคำถามว่าทำอย่างไรให้คบกับแฟนได้นานเหมือนที่พ่อแม่คบกัน ปอไม่มีคำถามแบบนี้เลยเพราะพ่อแม่ของเรารักๆ เลิกๆ ปอเห็นสัจธรรมว่าทุกสิ่งเป็นของชั่วคราว แนวคิดนี้คงอยู่กับเราจนกว่าจะเจอจุดเปลี่ยน ซึ่งคงไม่ง่าย
บทสนทนาในเรื่องมีจังหวะชะงักงัน มีการใส่ “อืม” “เออ” ให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งหมดมีนัยหรือไม่
ปอ : มีคนคิดว่าปอใส่เพื่อให้ดูเท่ ตรงนี้ตัวละครพูดแบบนี้ทำไม ให้มันเท่เฉยๆ เหรอ อยากบอกตรงนี้เลยว่าไม่ได้คิดขนาดนั้น ตอนเขียนมันไหลออกมาเองโดยธรรมชาติ บางคนบอกว่าเรื่องสามารถยาวกว่านี้ถ้าไม่ถูกจังหวะคั่น ปอไม่ได้มองเชิงโครงสร้างใดๆ แค่เขียนแล้วรู้สึกว่าต้องประโยคนี้ ประมาณนี้แหละ แค่นั้น
การที่งานเขียนทั้งสองเล่มติดอันดับขายดีในร้านหนังสืออิสระอยู่นานหลายเดือน สร้างความกดดันต่องานเขียนชิ้นต่อไปหรือไม่
ปอ : เมื่อไม่นานมานี้ปอมีอาการซึมเศร้า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความกดดันในตัวเอง เพื่อนที่เป็นนักจิตวิทยาบอกว่าเราเหมือนทหารเลย พอสำเร็จได้รับคำชื่นชม ปอยินดีแป๊บเดียว จากนั้นไปวิดพื้นต่อ ในขณะที่กระแสตอบรับด้านลบเรากลับซึมซับด้านนี้มาก ปอคิดซ้ำๆ ว่าทำไมเขาไม่เข้าใจ ทำไมเรายังไม่ดีพอ เราพลาดตรงไหน ทั้งที่คำวิจารณ์ทั้งดีและไม่ดีสามารถเกิดขึ้นได้ ปอรับกระแสลบมากเกินไปจนทำให้เคยคิดเลิกเขียน ถ้างานของเราไม่มีคุณค่า เขามองว่าเป็นขยะ ทำไมเราถึงจะยังเขียนต่อไปอีก ด้วยความเป็นเด็กเจ็นวาย เคยชินกับการออกความคิดเห็น ปอจึงตอบโต้คอมเมนต์ไป ท่าทีจึงดูก้าวร้าว ไม่น่ารัก ทั้งที่ทุกคนสามารถออกความคิดเห็นอย่างอิสระ แต่สภาพจิตเราไม่ปกติจึงแสดงพฤติกรรมที่ไม่สมควร ปอก็ขอโทษไปนะ
สภาพจิตใจตอนนี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง
ปอ : ดีขึ้นค่ะ คนเรามีจุดอ่อนต่างกัน สำหรับปอคำวิจารณ์ถือเป็นการเตือนสติ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองห่วย ปอจะไปหาทุกอย่างที่สนับสนุนว่าเราห่วยจริง หลายคนบอกว่าจะแคร์ความเห็นในอินเตอร์เน็ตจะแคร์ทำไม แต่นั่นคือสิ่งที่เราต้องรับรู้ พร้อมเรียนรู้ที่จะปล่อยวางด้วย ตอนนี้ไม่โฟกัสกับทั้งคำชมและคำด่ามากจนเกินไปค่ะ ไม่อยากเหลิง และไม่อยากจะรู้สึกห่วยตลอดเวลาด้วย
ความสำเร็จจากงานเขียนของปอ ทำให้งานในรูปแบบบทสนทนาสั้นๆ เกิดขึ้นแพร่หลาย รู้สึกอย่างไรกับปรากฏการณ์นี้
ปอ : พูดตามความสัตย์จริงคือปอไม่ได้อ่านงานของคนอื่นเลย แต่คิดว่าทุกคนย่อมมีเอกลักษณ์ของตัว มันไม่มีทางเหมือนกันได้ ทว่ามีช่วงหนึ่งเรารู้สึกว่าถ้าจะโจมตีงานเขียนในลักษณะนี้ เขาจะโจมตีเราก่อน ประหนึ่งเป็นตัวแทนของขบวนการนี้ บางคนอาจรู้สึกว่างานแบบนี้มีขึ้นมาทำไม แต่ปอรู้สึกว่ามันมีข้อดีนะ คนที่ไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะอะไร เขาอาจกลับไปเขียนงานในรูปแบบใหม่ที่คิดว่าดีกว่างานสไตล์เรา ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาให้เกิดสิ่งใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

คิดจะลองเขียนเรื่องสั้นแบบโครงสร้างปกติธรรมดาไหม
ปอ : จริงๆ พยายามเขียนค่ะ อยากเขียนให้ธรรมดาเหมือนชาวบ้านเขา ทำไปแล้วสุดท้ายก็กลับไปแก้ ไปตัด จนสั้นเหมือนเดิม กำลังพยายามอยู่ค่ะ
แฟนหนังสือส่วนใหญ่ของปอคือกลุ่มไหน พวกเขาสะท้อนอะไรกลับมาบ้าง
ปอ : น่าจะเป็นรุ่นใกล้เคียงปอ ประมาณวัยยี่สิบ กลุ่มนี้เข้าใจจักรวาลตัวละคร เข้าใจวิถีชีวิตเพราะมีความคล้ายกัน คนมักคิดว่ารูปแบบงานเขียนลักษณะนี้ผู้ใหญ่ไม่น่าชอบ แต่เสียงวิจารณ์ด้านลบมาจากวัยใกล้เคียงปอก็เยอะ ที่ไม่ชอบมักเป็นกลุ่มคนที่อ่านวรรณกรรมคลาสสิคขึ้นหิ้ง จึงไม่ชอบสไตล์เรา ถ้าให้สรุปชัดๆ ปอว่างานของปอโดนใจคนอกหัก หรือคนที่มีอารมณ์หน่วงๆ มากที่สุด เสียงสะท้อนที่ได้ยินส่วนใหญ่ คือ ชอบเพราะอารมณ์หรืออินกับเรื่อง และไม่ชอบเพราะโครงสร้างที่เน้นจังหวะ ไม่มีบรรยายฉาก ตัวละครไม่ค่อยแตกต่าง จะเห็นว่าค่อนข้างคนละขั้ว ด้วยเหตุนี้ปอจึงไม่หยุดอ่านคอมเมนต์ที่ทำให้ตัวเองหดหู่เลย
ไม่นับภาวะซึมเศร้า เราได้เรียนรู้อะไรจากการเขียนบ้าง
ปอ : ได้บำบัดทางจิตนะ จริงๆ ตอนที่เขียน ไม่มีใครเป็นเจ้าของดวงอาทิตย์ นี่ชัดมาก ปอได้เยียวยาตัวเองจากอาการผิดหวังในความรัก เราได้ทบทวนตัวเอง ถ้าวันนั้นไม่พูดแบบนี้ แต่เป็นอีกแบบล่ะจะเกิดอะไรขึ้น ได้ทดลองทำในสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในงานเขียน ความรู้สึกค้างคาต่างๆ นั้นหายไป จบไป เพราะปอเห็นแก่ตัว เราไม่ได้เล่าเพื่อให้ประชาชนรับทราบ แต่เราเล่าเพื่อเยียวยาและรักษาจิตใจตัวเอง
จินตนาการถึงอนาคต ยังเห็นภาพตัวเองเขียนหนังสืออยู่ไหม
ปอ : ในปี 2018 คงไม่มี คือปอไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นนักเขียน ปอเรียกตัวเองว่าเป็นนักแปลอาชีพ นักเขียนสมัครเล่น เพราะไม่อยากรับผิดชอบและรับความคาดหวัง คงเป็นแนวคิดเดียวกับการคบใครสักคนแต่ไม่อยากเป็นแฟน ดังนั้นจึงไม่มีกำหนดว่าจะเขียนงานในทุกปีหรือสองปี เป้าหมายชีวิตยาว ๆ เลยไม่ชัดเจนขนาดเห็นภาพนั่งเขียนงานไปจนบั้นปลาย แต่คิดว่ายังเขียนต่อ แม้ไม่เป็นหนังสือเล่มก็ตาม
เพราะนิยามงานเขียนของปอคือ “งานอดิเรกที่จริงจัง”
5 เล่ม โปรดในดวงใจ ปอ เปรมสำราญ
• กลาย (The Metamorphosis) โดย ฟรานซ์ คาฟคา
เป็นเล่มที่ชอบที่สุดด้วย เป็นหนังสือที่ทำให้รู้ว่าเขียนไปสุดทางแบบนี้ก็ได้ ไม่ต้องเหลือความรู้สึก happy ending หรือให้ความหวังอะไรในชีวิตแก่คนอ่าน บรรยากาศในงานของคาฟคาเป็นเอกลักษณ์ เห็นสีขาว ดำ เทา น้ำตาลเข้ม ได้กลิ่นอับของห้อง
• Endgame โดย แซมูเอล เบกเกตต์
เป็นบทละครองก์เดียวที่ชอบมากและนำมากำกับเป็นละครเวทีส่งครู คือเข้าใจว่าชีวิตมันแย่ แต่เราต้องอยู่ต่อไปตราบใดที่ยังไม่ตาย และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนคนหนึ่งไม่ว่าจะรักหรือเกลียด ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เหนี่ยวรั้งให้เราไม่ฆ่าตัวตายได้เหมือนกัน เรื่องนี้เลยกลายเป็นงานที่อยู่ในความทรงจำตลอด
• ความรักและปีศาจตัวอื่นๆ (Of Love and Other Demons) โดย กาเบรียล การ์เซีย มาเกซ
อ่านแล้วอ่านเล่า เกินสามรอบแล้ว ชอบที่เขาเดินเรื่องให้เห็นถึงพลังความรัก ที่ทำให้คนทำได้ทุกอย่าง ยอมได้ทุกอย่างและทึ่งกับจินตนาการอันสุดแสนมหัศจรรย์สไตล์มาร์เกซ
• ในกรงแก้ว (The Bell Jar) โดย ซิลเวีย แพลท
อ่านในช่วงที่เรามีภาวะซึมเศร้าพอดี รู้สึกว่าเป็นมุมมองที่จริงมากๆ เราเองก็คิดแบบนี้ในภาวะนั้น คิดว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าที่อธิบายความคิดและความรู้สึกของคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้ดีที่สุดเท่าที่เราเคยอ่านมา
• เรื่องสั้นเสน่ห์แรง โดย ดอนเขียน
นักเขียนเขาเสียดสีสภาพสังคมไทยด้วยการทำให้ตลกและแฟนตาซี ปรากฏว่าผ่านมาสิบกว่าปี ประเด็นที่เขาเสียดสีก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้น
เรื่อง : ภิญญ์สินี
ภาพ : อนุชา ศรีกรการ