น้ำใจไทยทั้งชาติ-พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

-

ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกๆ ท่าน ได้เวลาเติมความสุขให้ชีวิตอีกเหมือนเดิม

โยมทั้งหลาย ชีวิตคนเราเกิดมาบนโลก สิ่งที่เราต้องการคือความสุข ความสุขบางอย่างกว่าเราจะได้มาต้องซื้อด้วยเงินทอง ความสุขที่ได้ด้วยเงินเป็นความสุขที่เราสนองความอยาก ความสุขแบบนี้อยู่ไม่นานก็หายไป แล้วเราก็ต้องหาวัตถุอย่างอื่นมาสนองความอยากของตน เพื่อให้มีความสุขอีกครั้ง

แต่ความสุขบางอย่างไม่จำเป็นต้องใช้เงินก็ได้มา เป็นความสุขอันเกิดจากใจของเรา ดังที่พระพุทธองค์ตรัส “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด” คือ สุขหรือทุกข์ย่อมเกิดจากใจ

เมื่อใจเรามีความสุข เราก็สามารถมีความสุขได้ทุกๆ เรื่อง แม้บางเรื่องคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นความทุกข์ ที่เป็นแบบนี้เพราะใจคนเราต่างกัน มีมุมมองที่ต่างกัน มีความคิดที่ต่างกัน สิ่งที่ได้รับจึงก็ต่างกันด้วย พูดง่ายๆ คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงความทุกข์ให้เป็นความสุข เมื่อเรามีความสุขต้องรู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่นด้วย วิธีแบบนี้จะทำให้สังคมของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราสร้างความสุขคือ การรู้จักเปิดใจ ถ้าใจเปิดหูก็เปิด ถ้าใจปิดหูก็ปิด ถ้าเราไม่เปิดใจ สิ่งที่จะปิดตลอดชีวิตคือปัญญา เมื่อเรามีทิฐิ คิดว่าเรารู้แล้ว เราเก่งแล้ว สิ่งนี้จะปิดประตูแห่งปัญญาของเรา

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อาตมามีเรื่อง “ชาล้นถ้วย” จะเล่าให้โยมฟัง

เรื่องมีอยู่ว่า ณ ดินแดนซามูไรที่ไกลโพ้น มีสำนักอาจารย์เซนอยู่สำนักหนึ่ง อาจารย์ท่านนี้มีชื่อว่า นันอิน

ท่านเป็นอาจารย์เซนชาวญี่ปุ่น มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์เมจิ (พ.ศ.2411-2455)

คราวหนึ่งได้ต้อนรับศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ผู้ไปสอบถามเกี่ยวกับลัทธิเซน

อาจารย์นันอินเลี้ยงน้ำชาอาคันตุกะผู้นี้ด้วยตนเอง ท่านรินน้ำชาใส่ถ้วยจนล้นถ้วย แล้วยังรินต่ออยู่อย่างนั้นไม่หยุด

ท่านศาสตราจารย์มองดูจนอดรนทนไม่ได้ จึงร้องขึ้นว่า “มันล้นแล้วครับท่าน รินต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”

อาจารย์นันอินตอบว่า “เช่นเดียวกันแหละ เจริญพร ท่านเองก็เต็มไปด้วยทฤษฎีต่างๆ อาตมาจะสอนเซนให้ท่านได้อย่างไร ถ้าท่านไม่ทำถ้วยของท่านให้ว่างเปล่าเสียก่อน”

ฉันใดก็ฉันนั้นนะโยม ถ้าเราอยากมีความสุข เราต้องรู้จักเปิดใจรับความสุข ถ้าเราอยากมีความคิดที่ดี เราต้องรู้จักปรับทัศนคติ ถ้าเราไม่อยากมีความทุกข์กับคนรอบข้าง เราต้องรู้จักมองส่วนที่ดีของคนอื่นบ้าง ถ้าเราทำได้แบบนี้ เราก็จะมีพื้นที่แห่งความสุขในใจ

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยของเราได้ประสบปัญหาภัยน้ำท่วมหลายท้องที่

อาตมาติดตามข่าวอยู่ตลอด ได้เห็นความทุกข์ของพี่น้องคนไทย ก็หาวิธีช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นจุดรับบริจาคข้าวสารอาหารแห้ง และได้ลงพื้นที่บริจาคให้แก่ผู้ประสบภัยด้วยตนเอง

สิ่งที่ประทับใจมากๆ คือแต่ละหน่วยงานต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทางวัดก็มีพระเถระผู้ใหญ่หลายรูปลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือ พระทำโรงทานจากอาหารให้แก่ชาวบ้าน

โยมทั้งหลาย นี่คือจิตใจของคนไทยแท้ๆ คือมีความโอบอ้อมอารี มีความเมตตาสงสาร คนไทยเราไม่เคยทิ้งกัน ไม่ว่าจะมีภัยพิบัติอะไร น้ำใจคนไทยอาตมาถือว่าไม่เป็นสองรองใครในโลกนี้ และอีกคนหนึ่งที่นับว่าเป็นฮีโร่ของผู้ประสบภัยคือ คุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ผู้นำด้านการเสียสละทั้งแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ จนชาวบ้านขนานนามว่า “เทวดาของผู้ประสบภัย”

ที่เขาเรียกแบบนั้นอาตมาก็ว่าไม่ผิด เพราะลักษณะของเทวดาย่อมทรงไว้ซึ่งพรหมวิหารธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
มีเมตตาจิตต่อทุกชีวิต จะเห็นได้ว่าคุณบิณฑ์เป็นอาสาช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยในทุกๆ เรื่อง ถ้าไม่มีเมตตาจิตจริงๆ คงทำแบบนี้ไม่ได้แน่นอน

กรุณา มีความสงสาร พร้อมช่วยเหลือในทุกๆ ด้าน และช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ

มุทิตา มีจิตใจยินดีกับทุกคน พร้อมส่งเสริมสนับสนุนการทำความดีในทุกๆ เรื่อง

อุเบกขา รู้จักวางใจเป็นกลาง ไม่เอาทิฐิส่วนตัวไปตัดสินคนอื่น ยึดความถูกต้องและประโยชน์แก่ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

นี่คือคุณสมบัติของเทวดา ถ้าเราพิจารณาตามธรรมะที่กล่าวมาเบื้องต้น คุณบิณฑ์ก็เข้าข่าย นับว่าเป็นเทวดาองค์หนึ่ง

โยมทั้งหลายถ้าอยากเป็นเทวดาอย่างเขาบ้างก็ไม่ยาก เพียงเรามีธรรมะสี่ข้อคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีหิริ ความละอายแก่ใจ โอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป ธรรมะเหล่านี้ก็เปลี่ยนคนธรรมดาให้เป็นเทวดาได้

ดังนี้ ถ้าเรามีธรรมะข้างต้น สังคม ครอบครัวจะมีความสุขมาก เพราะเป็นสังคมที่อุดมด้วยปัญญาและความเมตตา ปรารถนาดีต่อกัน เป็นสังคมที่ก่อให้เกิดความสุขสงบร่มเย็น

เจริญพร

All Creative Team

Writer

ร่วมสร้างสังคมอุดมปัญญา

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

RELATED POSTRELATED
Recommended to you

error: Don\'t copy !!!