มิตรภาพไม่รู้จบ
เกือบ 30 ปีแห่งก้าวเดินบนถนนสายบันเทิงของผู้ชายที่ชื่อ “นีโน่-เมทนี บุรณศิริ” เจ้าของเสียงนุ่มๆ จากเพลง “คนขี้เหงา” ที่ฮิตติดปากหนุ่มสาวยุค ’90จนร้องกันได้ทั่วประเทศ ระยะหลังนอกเหนือจากงานพิธีกรรายการ “มาสเตอร์คีย์” ที่นีโน่ทำมายาวนานถึง 24 ปีแล้ว ชายหนุ่มคนนี้ยังผันตัวเองไปทำงานเบื้องหลัง จนหลายคนแอบคิดถึงผู้ชายใส่แว่นเจ้าของดวงตาวิบวับขี้เล่นคุยสนุกคนนี้ไม่ได้

และจากเหตุการณ์คู่ซี้รุ่นน้อง “โอ-วรุฒวรธรรม” เสียชีวิต ชื่อของ “นีโน่” ก็ได้รับการกล่าวถึงอีกครั้งในฐานะคู่หูดูโอ้ “โอ-โน่” และพี่ชายคนสนิทนีโน่ช่วยจัดการงานศพให้น้องชายเป็นอย่างดี และยังช่วยดูแลครอบครัวของโออย่างใกล้ชิด แม้การจากไปชั่วนิรันดร์ของโอ-วรุฒจะทำให้คนที่รักผู้ชายคนนี้ค่อนประเทศรู้สึกเศร้า แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็ทำให้คนไทยทั้งประเทศได้เห็นสายใยแห่งมิตรภาพที่โยงผู้ชายสองคนนี้ไว้โดยไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้

ออลฯนัดคุยกับนีโน่ในบรรยากาศสบายๆ ที่ร้าน SELF: Art Bar & Restaurantf ซึ่งเป็นร้านที่นีโน่ร่วมหุ้นเปิดกับเพื่อน อยู่ที่ชั้น 2 ของโครงการยอดพิมานริเวอร์วอล์คริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขาเริ่มต้นเล่าให้ฟังว่า “นอกจากเป็นพิธีกรรายการ ‘มาสเตอร์คีย์’ แล้ว ตอนนี้ผมยังผันตัวเองมาทำงานเบื้องหลัง ผลิตละครป้อนช่อง 7 ร่วมกับหนิง-ปณิตา ธรรมวัฒนะ ในนามบริษัทนีโน่บราเดอร์ส จำกัด เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก ผมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คลื่นลูกใหม่ต้องแทนที่คลื่นลูกเก่า เรามีหน้าที่เตรียมตัวรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมกับหนิงร่วมกันทำละครมา 3-4 เรื่องแล้วครับ ผลตอบรับค่อนข้างดี ได้เรตติ้งเป็นที่น่าพอใจถ้าสังเกตจะเห็นว่าผมมักชวนดารานักแสดงเก่าๆ ให้กลับมาเล่นละคร ผมไม่อยากให้พวกเขาถูกลืม ผมกลัวการถูกลืมมากที่สุด จึงทนไม่ค่อยได้ถ้าเห็นพี่ๆ น้องๆ ถูกลืม เลยมักชวนกลับมาเล่นละคร อย่างคุณโก้-นฤเบศร์จินปิ่นเพ็ชรซึ่งเป็นพระเอกเก่า ผมก็ชวนกลับมาเล่นละครผมอยากช่วยดูแลเขา เขาเองก็ทำงานช่วยสังคมด้วยนิสัยผมเป็นแบบนี้แหละครับถ้ามีโอกาสจะพยายามชวนกลับมาทำงานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”

นีโน่-เมทนี บุรณศิริ

เพราะเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นเสมอ กิตติศัพท์เรื่องความรักเพื่อนของนีโน่ล้วนปรากฏเด่นชัดจากเหตุการณ์ต่างๆ “ผมเป็นคนมีเพื่อนเยอะ ติดเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก พ่อจะส่งไปเรียนเมืองนอกก็ไม่ได้ไปเพราะติดเพื่อน อยู่กับเพื่อนผมพูดไม่หยุด แต่พอกลับถึงบ้าน ผมเงียบมาก ไม่อยากพูดกับใคร อยู่กับโทรทัศน์ อยู่กับไอแพด คงเป็นเพราะพูดนอกบ้านมาเยอะแล้ว เป็นคนสองบุคลิกอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ผมขาดเพื่อนไม่ได้จริงๆ เวลามีความทุกข์หรือไม่สบายใจ ผมไม่อยากคุยกับคนใกล้ตัวอย่างพ่อแม่หรืออดีตภรรยาให้เขามารับรู้เรื่องทุกข์ใจด้วย แต่กับเพื่อน ผมพูดได้ ระบายได้ทุกเรื่อง เพื่อนก็ปลอบแบบคนที่รู้ใจกัน ผมว่าการมีเพื่อนเป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่ต้องเลือกเพื่อนที่ดี สามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้อย่าเป็นแค่ฝ่ายให้หรือฝ่ายรับอย่างเดียว อะไรที่มากไปก็ไม่ดีทั้งนั้นผมมีเพื่อนที่สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือคุยกันได้ตลอดเวลาเป็นร้อยคน ผลัดเปลี่ยนมาเจอกันตามสถานการณ์และโอกาส” ชายหนุ่มเล่าถึงเพื่อนด้วยแววตาแห่งความสุข

ในจำนวนเพื่อนนับร้อยคนของนีโน่ ใครๆ ก็รู้ว่า “โอ-วรุฒ วรธรรม” ถือเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทที่สุด ทั้งสองสนิทกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เนื่องจากคุณแม่เป็นแอร์โอสเตสการบินไทย รุ่น 1 เหมือนกัน และเมื่อเข้าวงการบันเทิง ทั้งนีโน่และโอก็ทำงานร่วมกันมากมาย แต่ที่เป็นภาพจำของทุกคนคือพิธีกรคู่ในรายการ “โอโน่โชว์” รายการที่สะท้อนความเป็นหนุ่มอารมณ์ดี เจ้าชู้นิดๆ ทะเล้นหน่อยๆ แม้ในช่วงที่โอ-วรุฒ ประสบปัญหาชีวิตและตกต่ำ ทุกคนก็รู้ว่านีโน่ยังคงให้อภัย พยายามช่วยเหลือและให้โอกาสน้องชายร่วมโลกคนนี้เสมอ “แม้ว่าโอจะดื้อ แต่โอก็ไม่เคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ผมเลย โออาจลืมคิดไปเท่านั้นเอง มันนึกแค่ว่าถึงมันหายไป คงไม่มีใครเดือดร้อน มันคงลืมว่าผมน่ะเดือดร้อนที่สุด เพราะทำงานแพ็คคู่กันมาตลอด เป็นพิธีกรยืนคู่กันมา 15 ปี ต้องเลิกทำเราทำงานคู่กันมาตลอด พอโอหายไป ผมก็ต้องหายไปด้วย ผมเคยนั่งคุยกับโอนะว่า ไม่ใช่โอลำบากคนเดียว พี่เองก็ลำบากด้วย พอโอหายไป งานทุกอย่างของพี่ก็หายไปกว่าครึ่งเหมือนกัน ตอนนั้นแค่พูดให้สติ ไม่ได้ซ้ำเติมอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดว่าโอสร้างความเดือดร้อนให้ผม โอเป็นทั้งเพื่อนและน้อง ทุกอย่างที่ผมทำไป ผมแค่ทำหน้าที่ของเพื่อนใครมาเป็นผม ก็ต้องทำแบบผมอยู่ดี อย่างงานศพโอที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ ผมคิดแค่ว่าเป็นหน้าที่ เพราะโอไม่มีใครเลย พี่ชายเสียชีวิตไปแล้ว พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จึงเป็นหน้าที่ของผมที่จะให้ความช่วยเหลือเขา ถ้าผมไม่ช่วยโอ แล้วใครจะช่วย ที่สำคัญคือเรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เราคบกันมานานมาก เป็นหน้าที่ของเพื่อนที่ต้องช่วยเพื่อนครับ”

“โอพูดออกมาประโยคหนึ่งว่าอย่าว่าแต่อะไรเลย ชีวิตนี้ผมก็ให้พี่โน่ได้’ แต่ผมไม่เคยใส่ใจ ไม่ได้สนใจฟังด้วยซ้ำกระทั่งวันที่อยู่โรงพยาบาล”

ชายหนุ่มเล่าย้อนให้ฟังถึงช่วงท้ายชีวิตของโอ-วรุฒว่าเขาพยายามประคับประคองเพื่อนสนิทรุ่นน้องคนนี้ให้กลับมาก้าวเดินในวงการบันเทิงอีกครั้ง “ผมพาโอไปออกรายการ ‘คุยแซ่บโชว์’ มีหนิง-ปณิตาเป็นพิธีกร ตอนนั้นโอพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว ผมกับหนิงก็ช่วยกันประคองไว้ เพื่อให้โอกลับมาทำงานอีกให้ได้ โอพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า ‘อย่าว่าแต่อะไรเลย ชีวิตนี้ผมก็ให้พี่โน่ได้’ แต่ผมไม่เคยใส่ใจ ไม่ได้สนใจฟังด้วยซ้ำกระทั่งวันที่อยู่โรงพยาบาล โออาการหนักมาก ไม่ไหวแล้ว ผมเลยบอกหมอให้หยุดปั๊มหัวใจ หยุดทุกอย่างหมด เพื่อให้เขาจากไปอย่างไม่ทรมาน พอโอจากไป ผมกลับมาดูเทปอีกครั้ง ผมนั่งร้องไห้ไม่หยุดโอให้ชีวิตแก่ผมจริงๆ ผมนี่แหละเป็นคนหยุดชีวิตมันเอง” แม้เหตุการณ์นี้ผ่านไปนานเกือบเดือนแล้ว นีโน่ยังเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าและน้ำตาคลอ

จากเหตุการณ์ที่คนไทยต้องสูญเสียพระเอกหนุ่ม “วรุฒ วรธรรม” ไปก่อนวัยอันควร เราได้เรียนรู้อะไรจากชีวิตของโอบ้าง นีโน่ตอบว่า “โอเป็นคนที่มีปัญหาแล้วไม่พูด ชอบเก็บไว้กับตัว โอมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตด้วย แต่เขาไม่เชื่อว่าตัวเองป่วยไม่ยอมกินยา วิธีแก้ปัญหาของโอคือกินเหล้าให้ลืม ซึ่งมันไม่ถูกเพราะปัญหาไม่ได้หายไป พอหายเมา โอกลับมาคิดมากเหมือนเดิม ผมอยากบอกว่าถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาด้านสุขภาพจิต คุณควรไปปรึกษาจิตแพทย์ สมัยนี้จิตแพทย์เก่งๆ มีเยอะ แต่คนไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้ โอเก็บปัญหาไว้กับตัวจนสะสมเรื้อรัง ไม่รู้จะแก้ปัญหาไหนก่อน บางครั้งมันก็สายเกินไป แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อีกเรื่องที่โอทำให้เราทุกคนได้เรียนรู้คือโลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืน โดยเฉพาะเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย โอเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ตอนดังๆ เกิดในวงการใหม่ๆ โอหล่อเหมือนเทพบุตร หล่อแบบไม่มีใครเทียบได้ จนเขาเริ่มป่วยและแก่ สุดท้ายก็ตาย โออายุน้อยกว่าผม 3 ปี แต่ทุกอย่างนำผมไปหมดเลย เรื่องสังขารไม่มีอะไรยั่งยืนจริงๆ นะครับ ต่อให้คุณหล่อแค่ไหน สักวันคุณก็ต้องเจ็บ ป่วย และตายเหมือนกัน แต่ความดีที่โอมีทำให้ทุกคนยังรักและคิดถึงโออยู่ โอไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่เคยด่าใคร แม้ว่าเขาจากไปแล้ว แต่ทุกคนยังระลึกถึงความดีและความน่ารักของเขาอยู่”

นีโน่-เมทนี บุรณศิริ

ชายหนุ่มสำทับด้วยว่าในความเป็นจริงโอ-วรุฒมีเพื่อนเยอะ แต่เขามักเลือกคุยกับเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น “บางเรื่องเขาไม่ยอมคุยกับผมนะ เรียกว่าถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ โอก็ไม่ยอมคุยกับผม เขาเป็นคนที่ไม่ยอมพูดถึงปัญหา บางครั้งกว่าผมจะรู้ก็หนักแล้ว ช่วยแก้ปัญหาไม่ทันแล้ว โอพูดกับคนอื่นตลอดว่าอย่าไปกวนพี่โน่ เกรงใจเขา พอผมมารู้จากเพื่อนว่าเขาพูดแบบนี้ก็ยิ่งสงสาร เมื่อเขาคิดดีกับผมขนาดนี้ จะไม่ให้ช่วยเขาได้ยังไง ผมกับโอผูกพันกันมาก มากจนบางทีคนอื่นแยกไม่ออก ในงานศพมีบางคนเรียกผมเป็นโอ โอเป็นโน่ บางคนเดินมาตบไหล่ผมแล้วบอกว่าโน่ไปดีแล้ว ขอบคุณโอมากที่ดูแลโน่มาตลอดจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ก็ขำๆ คลายเครียดกันไป” นักแสดงหนุ่มกล่าวอย่างติดตลก และยังบอกด้วยว่าภารกิจสำคัญต่อไปคือทำหน้าที่ส่งน้องชายครั้งสุดท้ายให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในงานสวดพระอภิธรรมศพพระเอกหนุ่ม “วรุฒ วรธรรม” นีโน่-เมทนี บุรณศิริ ได้แต่งชุดข้าราชการสีกากี เพื่ออัญเชิญพวงมาลาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีฯ เราจึงทราบว่านอกเหนือจากงานในวงการบันเทิงแล้ว อีกภารกิจหนึ่งที่สำคัญของนีโน่คือดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดปทุมธานี “ผมดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบมาตั้งแต่ พ.ศ.2551 ดูแลคดีเยาวชนและครอบครัว ตำแหน่งนี้เน้นบุคคลที่มีจิตอาสา มีความรู้ความเข้าใจเรื่องจิตวิทยา และเป็นนักสังคมสงเคราะห์ เพราะการตัดสินคดีเด็กและเยาวชน ไม่สามารถใช้กฎหมายตัดสินว่าถูกหรือผิดได้เพียงอย่างเดียว ต้องใช้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยแก้ไข เยียวยา ฟื้นฟู บำบัด หรือประคับประคองผู้กระทำผิดที่เป็นเยาวชนเหล่านี้ด้วยตัวผมเองเริ่มจากเป็นผู้ประนีประนอมประจำศาลแขวงพระนครเหนือ แล้วก็ไปเป็นผู้ประนีประนอมหรือผู้ไกล่เกลี่ยประจำศาลอาญา จากนั้นมีผู้ใหญ่ชวนให้มาสอบเป็นผู้พิพากษาสมทบ เพราะเห็นว่าทำงานได้ดี สามารถพูดคุยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ ได้ ผมตัดสินใจไปสอบเมื่อปี 2550 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในปี 2551 ผมเป็นนักแสดงคนแรกที่สอบและดำรงตำแหน่งนี้ เพียงแต่ไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟัง เนื่องจากเป็นทั้งนักแสดงและผู้พิพากษาสมทบ ซึ่งเป็นกึ่งข้าราชการ พูดมากไปก็คงไม่ดี”

“ผมอยากให้ทุกคนคำนึงถึงความพอดี ถ้าทุกคนมีความพอดี สิ่งที่เกินและสิ่งที่ขาดก็จะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างควรมีความพอดีในตัวเอง”

ตลอด 10 ปีที่เขาทำหน้าที่ผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดปทุมธานีนีโน่บอกว่าคนทั่วไปอาจไม่เข้าใจว่าทำไมศาลเยาวชนฯ ถึงชอบปล่อยเด็กที่กระทำผิดออกมา แต่เขามองว่านั่นคือการให้โอกาสเด็กที่พอจะเยียวยาได้ “ถ้าไม่ใช่ลูกหลานของคุณ คุณไม่รู้หรอกว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ไม่มีใครไม่เคยทำผิดตอนเด็ก เพียงแต่คุณโชคดี เลยไม่ถูกจับ เด็กบางคนทำผิดเพราะสิ่งแวดล้อม เพื่อนฝูง หรือสิ่งเร้าอะไรก็แล้วแต่ พอเขากระทำผิด เราก็มาช่วยกันดูว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเกิดจากเหตุใด จะทำอย่างไรให้เขามีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง ขณะนี้มีคดียาเสพติดและคดีทางเพศเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากผมมองว่าสังคมไทยต้องสร้างความเข้าใจกันใหม่ โดยเฉพาะเรื่องการกระทำความผิดของเด็ก เราควรมีมาตรการควบคุมและปลูกฝังให้เด็กมีความใฝ่รู้ในการเรียนมากกว่าออกไปใช้ชีวิตเละเทะข้างนอก เด็กจำนวนมากไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม เพราะเขาเอาความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวันแทบไม่ได้เลย ผมอยากให้เห็นใจเด็กที่กระทำผิดด้วย มีหลายคนที่หลังจากศาลตัดสินแล้ว ผมขอรับผิดชอบดูแลต่อ โดยให้เด็กมารายงานตัวกับผม ผมนำเขาเหล่านั้นไปฝึกวิชาชีพและทำกิจกรรมต่างๆ ดาราบางคนอย่างคุณดุ๊ก-ภาณุเดช วัฒนสุชาติ ช่วยสอนวาดรูป อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ก็ส่งทีมงานมาสอนน้องๆ หัดทำอาหาร เพื่อจะได้เป็นอาชีพของเขาในอนาคต เราเชื่อมั่นว่า ถ้าเด็กอยู่ได้ มีรายได้ เขาสามารถมีชีวิตไปต่อได้ ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดีหรอกครับ”

นักร้องหนุ่มยังฝากถึงคนไทยทุกคนเนื่องในโอกาสส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไว้ด้วยว่า “ผมอยากให้ทุกคนคำนึงถึงความพอดี ถ้าทุกคนมีความพอดี สิ่งที่เกินและสิ่งที่ขาดก็จะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างควรมีความพอดีในตัวเอง ต่อให้เที่ยวสนุกขนาดไหนก็ต้องมีความพอดี ใช้เงินขนาดไหนก็ต้องมีความพอดี ชีวิตถึงจะอยู่ได้ อย่างผมเองสมัยก่อนอาจใช้ชีวิตเกินๆ ไปนิด แต่พออายุมากขึ้น ก็พยายามปรับลดลงมา ผมเคยนั่งมองตู้นาฬิกาที่สะสมไว้ 40 กว่าเรือน ยังคิดเลยว่านาฬิกาพวกนี้เอามาใส่พร้อมกันได้ไหม มันก็ไม่ได้ แต่สมัยก่อน พออยากได้ก็ซื้อ เห็นปั๊บซื้อ มาถึงสมัยนี้แทบไม่มีใครดูนาฬิกา เพราะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาแทน ผมจึงมองว่าความพอดีสำคัญต่อชีวิตคนเรามากที่สุด ตัวผมเองตอนนี้อายุมากขึ้น จะให้เฟี้ยวฟ้าวแบบเมื่อก่อนก็ไม่ไหวแล้ว จะทำอะไรก็ต้องปรับไปตามวัยและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นครับ”

จากภาพของนีโน่ที่เป็นคนง่ายๆ สบายๆ เราจึงอยากรู้ว่าในที่สุดแล้ว ความสุขของผู้ชายอารมณ์ดีคนนี้คืออะไร เขาตอบว่า “ไม่มีอะไรมาก แค่ได้มีอะไรทำ มีเพื่อนคุย ได้ดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แค่นี้ก็พอแล้ว สมัยก่อนเวลาไหว้พระ ผมมักขอให้หลับตาย อย่าเป็นโรคอะไรให้ทรมาน แต่พอเห็นโอเสียชีวิต แล้วพ่อแม่เขายังอยู่ เลยขอเพิ่มอีกข้อคือขอให้ตายหลังพ่อแม่ อย่าเป็นอะไรไปก่อนพ่อแม่ เพราะผมเป็นห่วงท่าน ถ้าบุญกุศลมีจริงก็ขอให้เป็นอย่างนั้น”

ทั้งหมดนี้คือตัวตนของ “นีโน่-เมทนี บุรณศิริ” ผู้ชายขี้เหงาอารมณ์ดีและคิดบวกที่พร้อมจะแบ่งปันความสุขไปยังคนอื่นๆ จนกลายเป็น “มิตรภาพที่ไม่รู้จบ” กับทุกคนรอบตัว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่