ทั้งอดีต ปัจจุบัน และในกาลข้างหน้า
……….
“อนุโมทนาบุญสิลูก” แม่มักพูดอย่างนั้นเสมอๆ ตั้งแต่เล็กจนโต เวลาที่เห็นใครทำบุญ หรือไปทำบุญกันเองที่วัด
“ทำไมเราต้องอนุโมทนาด้วยแม่” ฉันเคยถาม “อนุโมทนาแปลว่าอะไร”
แม่ตอบอย่างใจเย็น ไม่เห็นขัน ไม่นึกโกรธหรือหงุดหงิดแต่อย่างใด “แปลว่ายินดีด้วยในบุญกุศลของท่าน ดีแล้ว งามแล้ว”
“แล้วถ้าเราเฉยๆ ล่ะแม่ ถ้าเราเฉยๆ ไม่ได้ยินดี ไม่ได้รู้สึกอะไร”
กลับกลายเป็นน้าสาวที่ยืนอยู่ด้วยกันข้างๆ ตอบแทนอย่างไม่ตรงคำถามนัก “อนุโมทนาบุญนี่ดีนะ ถึงแม้เราไม่ได้ทำเอง แต่อนุโมทนากับเขา ใจที่เป็นกุศลของเราก็จะได้บุญด้วย 25 เปอร์เซ็นต์”
ตอนนั้นฉันฟังแล้วขำพรืดออกมาอย่างสุดกลั้น กลายเป็นถูกแม่หยิกจนแขนเขียวข้อหาเสียมารยาท มีอย่างเหรอ แค่พูดคำคำเดียวก็ได้เปอร์เซ็นต์บุญด้วย หยั่งกะแชร์ลูกโซ่
ยังมีความเชื่ออีกหลายอย่างที่คนรุ่นฉันได้รับการสั่งสอนมาจากทั้งญาติพี่น้อง ครู และพ่อแม่ เล่ากันว่าเคยมีคนที่ตายแล้วฟื้นมาเล่าประสบการณ์ในมิติมหัศจรรย์หลังความตาย ว่าตนเองได้เข้าไปอยู่ในดินแดนเวิ้งว้าง ที่มีโต๊ะตั้งอยู่ตัวหนึ่ง และบนโต๊ะตัวนั้น มีถาดอาหาร และขนมวางอยู่
ในตอนนั้นคนเล่ารู้สึกหิวและกระหายมากจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ โต๊ะตัวนั้น เขาประหลาดใจเมื่อจำได้ว่าอาหารทั้งสดและแห้งรวมถึงดอกไม้ธูปเทียนที่วางอยู่นั้นล้วนเป็นของที่เขาเคยใส่บาตรในตอนเช้ากับภรรยา
เขาหยิบอาหารเหล่านั้นกินด้วยความหิวโหย จนอิ่มท้อง แต่แล้วความรู้สึกกระหายน้ำก็กลับทวีคูณขึ้นมา คอแห้งเป็นผงแต่มองหาอย่างไรก็ไม่มีน้ำ ไม่มีเครื่องดื่มอื่นใดอยู่บนโต๊ะเลย กระวนกระวายกระสับกระส่ายอยู่ จนสะดุ้งเฮือกตื่นมา พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงรดน้ำศพ ญาติพี่น้องที่กำลังเข้าแถวรดน้ำพากันเอะอะโวยวายแตกตื่นตกใจนึกว่าผีหลอก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องของตาคนนี้ก็ถูกนำมาเล่าต่อกันมา กลายเป็นความเชื่อว่า หากเราต้องตายไปอยู่ในภพหลังความตายรอการพิพากษาเกิดใหม่ตามบุญกรรมที่ได้เคยสะสมมา อาหารที่เราเคยทำบุญใส่บาตรไว้ตั้งแต่ตอนที่เรายังมีชีวิต จะเดินทางไปเป็นเสบียงให้เราเองในระหว่างนั้น และเป็นที่มาของการเริ่มเอาน้ำดื่มใส่ถุงร้อนมัดหนังยางใส่ตามลงไปด้วยเพราะกลัวจะไม่มีน้ำกิน
ยังมีความเชื่อปากต่อปากอีกอย่างของสาวๆ ที่เชื่อกันว่า หากชาติหน้าอยากสวย ก็ให้ใส่บาตรด้วยพริกแห้ง และเกลือเม็ด นัยว่าผิวจะได้ขาวเหมือนเม็ดเกลือและปากแดงแก้มแดงสวยเหมือนพริก
“แล้วพระจะเอาพริกกับเกลือไปทำอะไร” ฉันพูดงึมงำขึ้นในเช้าวันหนึ่งที่หมู่บ้านจัดงานทำบุญใหญ่ มีการใส่บาตรข้าวสารอาหารแห้ง และมีคนในหมู่บ้านเอาพริกกับเกลือมาใส่บาตรกันแทบทุกบ้าน แม่ได้ยินแล้วก็ได้แต่อมยิ้มไม่ว่าอะไร
ในขณะที่น้าสาวหันมาค้อนตาเขียวปั๊ดใส่ “ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่เขาสิ ยัยคนนี้นี่”
บางวันที่พวกเราตื่นกันสายหน่อย ไม่ทันใส่บาตร แม่ก็มักจะจัดสำรับกับข้าว ใส่ปิ่นโตเดินจูงมือฉันข้ามถนนไปที่วัดไปถวายเพล วันพระก็ไปร่วมกิจกรรมฟังเทศน์ รับศีล ทำบุญ เวียนเทียน จนฉันท่องบทอาราธนาศีล อาราธนาธรรม ศีลห้า ไปยันบทสวดให้พร ยถาฯ ที่พระจะสวดตอนที่เรากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตาย ท่องได้ จำได้ แต่ไม่เคยรู้ ไม่เคยคิดสงสัยว่าถ้อยคำบาลีเหล่านั้นมีความหมายว่าอย่างไร
ในขณะที่น้าสอนให้ฉันสวดอุทิศส่วนกุศลตอนกรวดน้ำด้วยภาษาบาลี “อิทังโน บุญยัง ญาตะกานังโหตุ สุขิตาโหตุญาตะโย” สอนให้เอามือแตะแขนกันเหมือนเสียบปลั๊กรางต่อไฟเพื่อรับกระแสบุญ สอนให้ฉันเลือกกรวดน้ำใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีรากยาวลงไปใต้พื้นโลกมากที่สุดเพื่อที่บุญกุศลจะได้ไหลผ่านรากไม้เชื่อมต่อลงไปถึงญาติที่ล่วงลับที่อาจกำลังต้องใช้กรรมอยู่ในขุมนรก
แม่มักจะสอนให้ฉันทำจิตใจให้สงบและเพ่งสมาธิ ตั้งใจอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลด้วยภาษาที่เรารู้จัก ไม่ต้องเอ่ยออกมาก็ได้ แค่ระลึกถึงผู้คนที่เราอยากส่งความปรารถนาดีให้ ญาติพี่น้อง บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เทวดาอารักษ์ที่คอยปกป้องดูแลเรา สัตว์นรก ผี เปรต อสุรกาย สัมภเวสี เจ้ากรรมนายเวร และใครก็ตามที่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศลนี้ได้ ขอให้อนุโมทนาบุญรับไปด้วย ขอให้เขาเหล่านั้นมีแต่ความสุขกาย สุขใจ อย่าได้มีความทุกข์ใดๆ
แต่ที่ทำให้ฉันประหลาดใจมากที่สุด คือในตอนท้ายแม่บอกให้ฉัน ไม่ลืมอุทิศส่วนกุศลให้ตัวเองด้วย “ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้ตัวข้าพเจ้าเองเพื่อเป็นสะพานบุญ ขอให้ผลบุญนี้ ยังผลให้ข้าพเจ้ามีความสุขกาย สุขใจ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในกาลข้างหน้า”
ฉันเลือกเถียงเลิกถามแม่ แต่เลือกจะทำตามโดยไม่ได้โต้แย้งอย่างไร แม้ในใจจะยังสงสัยว่าจะส่งบุญข้ามห้วงเวลาไปทั้งในอดีตและอนาคตได้อย่างไร บางทีแม่อาจจะเชื่อในเรื่องของโลกหรือมิติคู่ขนานก็เป็นได้
ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับแม่ เหมือนจะหยุดลงที่วันออกพรรษาในปีนี้ ที่จังหวัดฉันมีการจัดงานตักบาตรเทโวโรหณะ มีรถขบวนบุปผาชาติ มีเทวดา นางฟ้า แต่งตัววิจิตรอลังการสวยสดงดงามเหมือนภาพวาดบนผนังโบสถ์ นั่งมาบนรถแห่ โปรยข้าวตอกดอกไม้ และน้ำอบน้ำปรุงกลิ่นหอมตลบไปทั่วทั้งถนน วันนั้นแม่ใส่เสื้อลูกไม้ขาว ผ้านุ่งสีม่วงเปลือกมังคุด ดูสวยกว่าทุกวัน
หลังจากนั้นฉันพยายามบอกตัวเองให้เชื่อว่าขบวนรถแห่บุปผาชาติจากสวรรค์ในวันออกพรรษานั้น คือขบวนนางฟ้าเทวดาจากสวรรค์มารับแม่กลับขึ้นไปอยู่บนนั้น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจเชื่อเช่นนั้นได้
ในเมื่อความเป็นจริง คือแม่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม เพียงเพื่อชิงสร้อยทองน้ำหนักไม่ถึงบาท สร้อยทองที่มีจี้ห้อยเป็นรูปหัวใจน่ารักน่าเอ็นดูที่แม่สัญญาว่าจะเก็บไว้ให้ฉันใส่ตอนโต สร้อยที่แม่เก็บหอมรอมริบเป็นแรมปีกว่าจะซื้อมาได้ เพราะแม่ต่อสู้ เพราะแม่ไม่ยอมให้มันไปดีๆ
บทสนทนาในงานศพล้วนโทษว่าเป็นความผิดของแม่ ที่พยายามต่อสู้เพื่อปกป้องสมบัติอันมีค่าชิ้นเดียวที่แม่มี
ฉันไม่เชื่ออะไรอีกแล้ว สิ่งที่แม่ทำล้วนเปล่าประโยชน์ เหมือนคนประดิดประดอยก่อปราสาททรายริมชายหาด สุขใจแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีจริงทั้งนั้น บุญ บาป ล้วนเป็นแต่อุปาทานของคนที่เชื่อในจินตนาการของคนเฒ่าคนแก่
ฉันเลิกทำบุญอีก เลิกสนใจใส่บาตร ไม่เข้าวัดอีก ไม่สวดมนต์ก่อนนอน ไม่คิดจะหันหน้าไปเชื่อพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะศาสนาไหนๆ และต่อสู้กับเจ้าหน้าที่อำเภอเพื่อใช้สิทธิ์ไม่ระบุศาสนาในบัตรประชาชน
ปาฏิหาริย์ไม่เคยมีจริง โลกหลังความตายก็เช่นกัน มีเพียงซากร่างไร้ชีวิต มีเพียงเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของแม่ และสร้อยคอเส้นเท่าหนวดกุ้งโง่ๆ ของแม่เท่านั้นที่มีจริง
สร้อยทองกระจอกกระจิ๋วที่แม่ถึงกับต้องแลกชีวิตปกป้องนั่น
เมื่อฉันจำต้องตามเจ้านายไปทำบุญอย่างเสียไม่ได้ ฉันจึงแกล้งเลี่ยงไม่ขึ้นไปบนศาลา กระนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่เสา เป็นบทสวดให้พรและคำแปลภาษาไทย
ความหมายของสิ่งที่ฉันยังจำขึ้นใจแต่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนในชีวิต
ยะถา วาริวะหา ปูรา | ห้วงน้ำที่เต็ม ย่อมยังสมุทรสาคร
ปะริปูเรนติ สาคะรัง | ให้บริบูรณ์ได้ฉันใด
เอวะเมวะ อิโต ทินนัง | ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วในโลกนี้ ย่อมสำเร็จ
เปตานัง อุปะกัปปะติ | ประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว ได้ฉันนั้น
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง | ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว
ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ | จงสำเร็จโดยฉับพลัน
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา | ขอความดำริทั้งปวง (ของท่าน)
จันโท ปัณณะระโส ยะถา | จงเต็มที่เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
มะณิ โชติระโส ยะถา | เหมือนแก้วมณีอันสว่างไสว ควรยินดี
สัพพีติโย วิวัชชันตุ | ความจัญไรทั้งปวงจงบำราศไป
สัพพะโรโค วินัสสะตุ | โรคทั้งปวงของท่านจงหาย
มา เต ภะวัตวันตะราโย | อันตรายทั้งหลายอย่ามีแก่ท่าน
สุขี ทีฆายุโก ภะวะ | ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุข มีอายุยืน
อภิวาทะนะสีลิสสะ | นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน | จัตตาโร ธัมมา วัฒฒันติ | อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง |
พรสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคล ผู้มีปกติไหว้กราบ มีปกติอ่อนน้อม (ต่อผู้ใหญ่) เป็นนิตย์ ด้วยประการฉะนี้แล
หลังอ่านจบ คล้ายกระแสความเย็นชื่นไหลรินเข้าสู่จิตใจจนนิ่งสงบ
ฉันไม่รู้ว่าควรจะเรียกหรืออธิบายความรู้สึกนี้ได้อย่างไร ที่แน่ๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันรู้สึกยินดีระคนเศร้าอย่างรุนแรงขึ้นมาพร้อมๆ กัน และคิดถึงคนคนเดียวในโลกที่รักมากที่สุดซึ่งไม่มีวันจะได้พบกันอีกแล้วตลอดกาล
ทว่า ในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง ใครจะไปคิดว่าฉันจะได้พบแม่อีกครั้งอย่างไม่คาดฝัน หลังจากเวลาผ่านมากว่า 20 ปี!
เมื่อฉันนั่งรูดหน้าฟีดเฟซบุ๊ก กวาดตาไปเรื่อยๆ แล้วพบใครคนหนึ่ง แชร์ภาพยนตร์สารคดีสั้นที่ชาวต่างชาติเข้ามาถ่ายทำงานตักบาตรเทโวโรหณะในประเทศไทยเมื่อกว่า 20 ปี ที่แล้ว ภาพที่เห็นทำให้ในอกเต็มตื้นจนเผลอสะอื้นเบาๆ
ภาพในจอโทรศัพท์กำลังแสดงบรรยากาศของผู้คนที่มีใบหน้าแช่มชื่น กลีบดอกไม้และข้าวตอกเกลื่อนบนพื้นถนนราวกับพิภพสวรรค์ปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์ กลิ่นน้ำอบน้ำปรุงหอม และกลิ่นข้าวตอกดอกไม้นานาชนิดหอมละมุนหวานชื่นขึ้นมาในห้วงคำนึง
ผ่านม่านน้ำตารื้นเอ่อเต็มคลองตา ฉันจ้องมองหญิงสาวที่งดงามที่สุดในโลกในเสื้อลูกไม้สีขาว ผ้านุ่งสีเปลือกมังคุด สร้อยทองจี้รูปหัวใจต้องแสงแดดอ่อนส่องประกายวาววับ แม่กำลังประคองขันเงินกรวดน้ำลงบนรากต้นโพธิ์ใหญ่ ข้างๆ แม่มีเด็กหญิงอายุราว 10 ปี วัยกำลังดื้อ นั่งพนมมือขมุบขมิบปากตามอยู่ข้างๆ
ฉันนั่งมองตัวสั่น ในอกหวิวโหวง ใบหน้าร้อนผ่าว ในวันและวัยที่แสนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า แทบไร้เรี่ยวแรงกำลังใจ จู่ๆ แม่และตัวฉันเองในตอนนั้นก็ข้ามเวลานำช่วงเวลาที่ดีที่สุดกลับมามอบให้
ไม่น่าขันและน่าประหลาดใจหรอกหรือ ที่คนห่างวัดห่างวาอย่างฉันกลับจดจำได้ทุกถ้อยคำ ก้องดังทุ้มนุ่มละไมอยู่ข้างในราวกับว่าภาพยนตร์สั้นนั้น ได้เปิดเสียงของทั้งสองดังกังวานออกมาด้วย
ฉันยกมือขึ้นพนม สำรวมจิตใจให้สงบอย่างที่ไม่ได้ทำมานานแสนนาน น้ำหยาดที่แม่กำลังรินลงสู่โคนรากโพธิ์ต้นนั้น ไหลชุ่มเย็นผ่านใยรากซับซ้อนลงสู่ผืนดินหัวใจที่แห้งแล้งไร้ความหวังและศรัทธา ฉ่ำเย็นอยู่ในดวงใจของลูกสาวแม่ที่ไม่เคยยอมให้แม่จากไปไหน น้ำกรวดของแม่เหมือนน้ำทิพย์ชโลมล้างความเจ็บปวด ความเจ็บแค้นต่อโชคชะตา จนปลาสนาการไปสิ้น
จนเมื่อเด็กหญิงในภาพยนตร์นั้น ขยับปากกล่าวประโยคสุดท้าย
“ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้ตัวข้าพเจ้าเองเพื่อเป็นสะพานบุญ ขอให้ผลบุญนี้ ยังผลให้ข้าพเจ้ามีความสุขกาย สุขใจ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในกาลข้างหน้า”
ถ้าสิ่งนี้เรียกว่าบุญ บุญนั้น ที่ฉันได้อุทิศข้ามกาลเวลามาในโลกอนาคต ได้ส่งมาถึงฉันแล้วจริงๆ ในวันนี้ อย่างน่ามหัศจรรย์
อย่างที่แม่พูดเสมอ บุญเกิดขึ้นทันทีที่เราได้มอบให้แล้วเป็นสุขใจ และเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อผู้ได้รับเกิดความสุขใจ
พร้อมหยาดน้ำตาที่วาดลงข้างแก้ม ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ก็หลุดลอยออกมาจากใจและความทรงจำอันงาม โดยที่ฉันเองก็แทบไม่ได้รู้ตัว
“อนุโมทนา…สาธุ”#.