ในบรรดาศิลปินรุ่นใหม่ขวัญใจเจน Y นาทีนี้คงไม่มีใครโด่งดังเปรี้ยงปังยิ่งกว่า เดอะ ทอยส์ (The TOYS) หรือ ทอย-ธันวา บุญสูงเนิน เจ้าของเพลงฮิต “ก่อนฤดูฝน” “04.00” “หน้าหนาวที่แล้ว” “ลาลาลอย (100%)” “พูดไม่ออก” ฯลฯ ที่ปล่อยเพลงมาเมื่อไหร่ก็ครองอันดับหนึ่งของชาร์ตได้อย่างชิลล์ๆ ความสำเร็จของศิลปินหนุ่มคนนี้เกิดจากฝีมือล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการเล่นกีต้าร์ แต่งเพลง หรือแม้แต่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ตนเองและศิลปินอื่น กวาดรางวัลมาหลายเวที และยังไปคว้ารางวัลไกลถึงประเทศเกาหลีที่งาน 2018 MAMA Premiere in Korea ในฐานะศิลปินไทยที่ได้รับเลือกให้เป็น Best New Asian Artist Thailand
พรสวรรค์และความสามารถทางดนตรีของเขาคงสืบจากสายเลือดคนดนตรีที่ไหลเวียนในตัว ด้วยถือได้ว่าเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้นเลยทีเดียว คุณแม่ของเขาไม่ใช่ใครอื่น คือเจ้าของบทเพลงแสนร้าวรานอันโด่งดัง “ช้ำคือเรา” นิตยา บุญสูงเนิน ส่วนคุณป้าคือนักร้องชื่อดัง เจินเจิน บุญสูงเนิน เนื่องในเดือนแห่งวันแม่ เราจึงขอเชิญแม่ลูกคนดนตรีคู่นี้มาขึ้นปก พร้อมพูดคุยถึงความผูกพันสไตล์แม่เลี้ยงเดี่ยว กับลูกชายสุด’ติสต์ แห่งบ้านบุญสูงเนินกัน

นิตยา บุญสูงเนิน
“เด็กสมัยนี้โตไวเนอะ” ประโยคอินโทรในเพลง “หน้าหนาวที่แล้ว” ของ The TOYS ดูเข้ากับคู่สนทนาในวันนี้ เราเริ่มต้นด้วยการสนทนากับคุณแม่นิตยาถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว ตัวตนของลูกชายที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงการทำตามฝันอย่างแน่วแน่ของเขา
“ตอนเด็กๆ เขาไม่แตกต่างจากปัจจุบันนะ คือเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยคุย แต่ว่าทำเยอะ เช่น เล่นเกมก็เล่นเยอะ หลังจากเล่นจนเบื่อก็หันมาเล่นกีต้าร์ เล่นคอมพิวเตอร์ เขาชอบเรียนภาษา ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น เขาทำอะไรทำเต็มที่ แต่ไม่ค่อยแสดงออก ไม่ค่อยพูด นิ่งๆ ไม่ยุ่งกับใคร เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว สมมติแม่มีเพื่อนมาบ้าน เพื่อนๆ เห็นทอยก็ อุ๊ย! เด็กคนนี้น่ารักจังเลย มาหาป้าหน่อย มาหาน้าหน่อย ขออุ้มหน่อยสิ แต่เขาจะมองหน้า อะไรอะ ไม่สนใจ ไม่วิ่งเข้าหา ฉันขึ้นบ้านนะ แล้วเดินขึ้นบ้านไปเลย นี่คือเขา เขาเป็นอย่างนี้
แม้ว่าทอยจะเป็นเด็กเงียบๆ มีโลกส่วนตัว แต่แม่ลูกคู่นี้ก็พยายามทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ “แม่ก็เหมือนแม่ทั่วไปนะ อยากให้ลูกมีความสุข เคยชวนเขาไปเดินห้างสรรพสินค้า ชวนไปเที่ยวทะเล เที่ยวต่างจังหวัดในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือปิดเทอม แต่ส่วนใหญ่คำตอบคือไม่ไป จะอยู่บ้านเล่นคอมฯ เล่นดนตรี อ่านหนังสือ เขาเพิ่งมารู้จักต่างจังหวัดเมื่อสองปีนี้เอง เพราะเขาไม่ไปไหน ถามมีน้อยใจไหม แรกๆ มี แต่พอนานไปก็เข้าใจว่านี่คือเขา ไม่ใช่ไม่รักครอบครัวนะ เขารักแต่ไม่แสดงออก อย่างเช่นวันพิเศษต่างๆ ทอยจำได้ แต่ไม่มีของขวัญหรอก เขาว่าของขวัญซื้อไปก็เน่าเปื่อยผุพัง แต่กำลังใจนั้นมีให้อยู่ตลอด ถึงแม่ทำงานยุ่งแต่เราก็คุยกันได้ทุกเรื่อง”

ทั้งที่ลูกชายคนเดียวค่อนข้างเก็บตัว แต่คุณแม่กลับไม่กังวล “แม่ชินที่เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แม้บางครั้งมีใครมาบอกว่า ลูกเธอผิดปกติ แม่จะตอบว่า ธรรมชาติของทอยเป็นแบบนี้ เขาไม่ได้ผิดแปลกอะไร แค่ชอบอยู่เงียบๆ ชอบทำงาน มีช่วงที่แม่กังวลบ้างว่าลูกฉันไม่เหมือนชาวบ้านรึเปล่า แต่พอดูๆ ไป เขาก็เข้ากับเพื่อนได้ ธรรมชาติของเขาคงเป็นแบบนี้ แต่ช่วงเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น แม่ห่วงมากนะ ตามไปดูที่โรงเรียนไม่ให้เขารู้ตัว เพราะถ้ารู้ตัวแล้วเขาจะรู้สึกไม่ดี รำคาญเรา แม่แอบไปส่องที่โรงเรียน เช็คโน่นเช็คนี่ เป็นธรรมดาของแม่ทุกคนที่เป็นห่วง ยิ่งลูกเข้าสู่วัยรุ่นยิ่งมีสารพัดเรื่องให้วิตก แต่ทอยเขาทำให้แม่ไว้ใจ เขาไม่เกเรเลย เราก็หมดห่วง”
วิธีเลี้ยงลูกสไตล์คุณแม่นิตยาที่ปลูกปั้นให้ลูกชายกลายเป็นศิลปินมากความสามารถคือ การให้อิสระทางความคิด “วิธีการเลี้ยงของแม่คือสบายๆ ปล่อยให้เขาคิดเอง แล้วเราค่อยมากรองทีหลังว่าผ่านไหม ดีไหม อย่างเช่น เขาอยากเรียนภาษา อยากเล่นดนตรี ก็ปล่อยให้เขาทำ เพียงแต่คอยดูว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนไหม หลักๆ คือเลี้ยงเขาให้รู้จักคิดเอง”
การเปิดอิสระทางความคิดส่งผลให้ศิลปินหนุ่มคนนี้เป็นเด็กที่ค้นพบตัวเองไว และมุ่งมั่นกับในการทำสิ่งนั้น เขาเลือกพักการเรียนช่วง ม.5 แล้วสอบเทียบวุฒิ ม.6 ในภายหลัง เพื่อสานฝันเป็นโปรดิวเซอร์ตามที่ตั้งใจ เมื่อลูกชายเลือกเส้นทางชีวิตที่แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกัน ผู้เป็นแม่ย่อมมีความกังวลไม่มากก็น้อย “ที่เป็นห่วงคือ ถ้าวันหนึ่งเกิดไม่อยากทำดนตรีแล้วอยากไปทำอย่างอื่น ก็ห่วงเรื่องการเรียนของเขา แต่ทอยบอกไม่ต้องห่วง เขาจะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย แม่ก็ค่อยเบาใจ ปกติบ้านเราไม่ค่อยซีเรียสอยู่แล้ว แม่ห่วงเรื่องสุขภาพและการเดินทางเป็นสำคัญ ส่วนการตัดสินใจด้านอื่นๆ ไม่ค่อยกังวลมาก อีกอย่างคือทอยเป็นคนวางแผนทุกอย่างได้ดี เช่น เรื่องรายรับรายจ่าย ตอนแรกแม่ถามมีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน แต่เขาดูแลตัวเองได้เรียบร้อยเสร็จสรรพ”

แม้ว่าไม่ได้ห้ามลูกชายเล่นดนตรี แต่เดิมทีคุณแม่ก็ไม่ประสงค์ให้ทอยก้าวสู่เส้นทางศิลปินมืออาชีพ “คือแม่อยู่วงการนี้มานาน เรารู้ว่ามันลำบาก ต้องเจอปัญหามากมายซึ่งเราเคยผ่านมาก่อน และยังต้องใช้ความสามารถสูง ถ้าไม่สำเร็จก็กลัวลูกจะผิดหวัง เสียความรู้สึก เลยคิดอยากให้เขาทำอาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เข้าวงการดนตรี แล้วอยู่ๆ เขาไปแอบฝึกจนประกวดได้รางวัล แม่ถึงได้รู้ว่าเขาชอบจริงๆ ก็ต้องยอม อาจเพราะอยู่ในสายเลือดด้วยมั้ง ห้ามก็ไม่ทันแล้ว แต่ตอนเด็กๆ เขาไม่ใช่อย่างนี้นะ เขาไม่ได้แสดงออกว่าสนใจดนตรีถึงขนาดนี้ เขาสนใจอาชีพอื่นมากกว่า เช่น ทำธุรกิจ แม่จึงไม่ได้สนับสนุน
“แต่พอก้าวเข้ามาแล้ว แม่บอกเขาแต่แรกเลยว่า ถ้าเกิดประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง ย่อมต้องเจอปัญหาเยอะนะลูก แม่เตือนไว้ก่อนเลยว่าต้องเจอดราม่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทอยเขาบอกไม่เป็นไร คนอื่นยังรับได้เลย เรื่องพวกนี้ต้องมีบ้างอยู่แล้ว เขาบอกว่าความตั้งใจของเขาคือการบรรลุเป้าหมาย ระหว่างทางสู่ความสำเร็จต้องมีขวากหนามบ้าง พอเขาพูดอย่างนี้หลังจากที่เคยหนักใจมากก็เบาใจ เขาโตแล้ว เขาคิดได้”
อย่างไรก็ตาม กระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องบุคลิกภาพที่ซ้ำเติมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสีหน้า อย่างเฉยชา หรือการพูด-การตอบคำถาม ที่บางครั้งห้วนจนคนฟังเหวอ ลีลาเช่นนี้เป็นทั้งเสน่ห์ดึงดูดให้คนมาชื่นชอบ และบางครั้งชวนให้ผู้ชมตำหนิ “มีบอกให้เขาปรับบุคลิกเหมือนกัน เราเป็นแม่ก็กลัวคนไม่ชอบลูกเรา ยิ่งลูกเราเป็นแบบนี้ คนจะไม่เข้าใจรึเปล่า พอได้คุยกับทอย เขาก็บอกว่า ทอยขายที่เนื้องานนะแม่ แล้วบุคลิกทอยเป็นแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าเย่อหยิ่งหรืออะไรเลย ทอยเป็นทอย ถ้าทอยเป็นคนอื่น ทอยจะเหนื่อย เลยตามใจลูกแล้วกัน อยากทำอย่างไรก็ทำ ส่วนข่าวล่าสุดที่ทอยเดินลงจากเวทีกลางคัน ในขณะยังไม่ทันจบโชว์ เหตุเพราะผู้ชมที่เมาขาดสติขึ้นมาก่อกวน แม่ก็ตามข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องทำนองนี้แม่เคยเจอมาแล้ว ได้บอกเขาว่าถ้าเกิดขึ้นอีกเรามาแก้ไขตรงบอดี้การ์ด ตรงคนดูแลเวทีกัน จริงๆ ทอยเป็นคนรักงานมาก เวลาจะโชว์ต้องเตรียมสคริปต์ แล้วเขาเป็นคนสมาธิสูงมากเวลาขึ้นเวที เพราะรักงาน รักแฟนคลับจึงอยากแสดงให้ดี พอสคริปต์หลุดจากที่ตั้งใจ ฉันลงจากเวทีดีกว่า เขาจะเป็นแบบนี้”

ในด้านครอบครัว การแยกทางกับคุณพ่อและการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว คุณแม่นิตยาใช้วิธีให้ลูกคุ้นชินและยอมรับความเป็นจริงเพื่อสร้างความเข้าใจ “หลังจากที่แม่แยกทางกับพ่อ เราก็กลายเป็นเพื่อนกัน เป็นญาติกัน คุณพ่อเขามีมาเยี่ยม มารับไปนอน สภาพที่เปลี่ยนไปนี้จึงไม่เป็นเรื่องเศร้า ทอยไม่ดราม่ากับเรื่องนี้เลย เขาอยู่กับพ่อก็ได้ อยู่กับแม่ก็ได้ แม่ไม่เคยมานั่งอธิบายอะไร ปล่อยตามธรรมชาติ ทอยเขาก็ไม่เคยถาม ตั้งแต่เด็กเขาไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องใหญ่ เขาจะห่วงคือเรื่องทำธุรกิจ ทำยังไงจะรวย ร้องเพลงก็แล้ว เล่นดนตรีก็แล้ว ต่อมาคืออยากทำธุรกิจอื่นที่สร้างฐานะ เขามีเป้าหมายชีวิตตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเรื่องดราม่าครอบครัวจึงไม่ได้เก็บเอามาเป็นอารมณ์
“การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนั้น คนอาจคิดว่าต้องลำบาก ต้องเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่เลย อาจเพราะตัวแม่ไม่ได้วิตกอะไรมากมาย ไม่ได้กังวลว่าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวจะทุกข์จะท้อ กับคุณพ่อของทอยถึงเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เราเป็นเพื่อนกันได้ มันมีความสุขกว่าการเป็นสามีภรรรยาเสียอีก แม่กับพ่อไม่ได้โกรธแค้นอะไรกันเลย แค่บังเอิญชีวิตอยู่กันไม่แฮปปี้ แยกกันดีกว่า ส่วนลูกก็แบ่งกันเลี้ยง เผอิญทอยไม่เคยสร้างเรื่องให้หนักใจ ทุกอย่างจึงราบรื่น
“ในฐานะที่เราเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ก็อยากฝากถึงคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนอื่นคือ ให้ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่ในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ ทำเวลานั้นให้ดีที่สุดแล้วทุกอย่างจะแฮปปี้เอง แม่ว่าทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยงเดี่ยวหรือเลี้ยงคู่ ถ้าเราตระเตรียมมากเกินไป ยิ่งกลายเป็นความกดดัน เพราะฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุดพอ”
เนื่องในเดือนแห่งวันแม่ สิ่งที่แม่นิตยาอยากฝากถึงลูกชายผู้ที่กำลังเป็นศิลปินขวัญใจวัยรุ่นไทยคือ “แม่เตือนเขาเสมอว่า ตอนขึ้นทำให้เต็มที่ ตอนลงจะได้ไม่เสียใจมาก อย่างไรก็ตามทุกอย่างมีขึ้นต้องมีลง นอกจากเรื่องการเดินทาง การพักผ่อน และการทานอาหาร ไม่ค่อยมีอะไรให้ห่วงแล้ว เขาคิดเองได้ค่ะ”
The TOYS
ถึงคราวศิลปินหนุ่มสายเลือดคนดนตรีเข้มข้น ซึ่งคุณแม่บอกว่าอยู่ในกลุ่ม “รักนะ แต่ไม่แสดงออก” มาเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกคู่นี้บ้าง หากติดตามการให้สัมภาษณ์ของ The TOYS จะทราบดีว่าเขาอาจตอบคำถามไม่เก่ง เจ้าตัวได้ออกตัวว่าอาจมีเบลอๆ บ้าง แม้จะตอบคำถามไม่ฉะฉานเหมือนดาราศิลปินคนอื่น แต่ความพยายามที่จะสื่อสารและถ่ายทอดความคิดนั้นเราสัมผัสได้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่แปลกใจเลยที่ศิลปินหนุ่มคนนี้มีแฟนคลับล้นหลาม

“กิจกรรมที่ทำกับคุณแม่ในวัยเด็กที่จำได้ มีกินข้าว กินอาหารทะเล ไปเที่ยวด้วยกัน ผมไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรมากมาย ส่วนใหญ่คือไปดูแม่ร้องเพลง แล้วก็กินอาหารทะเลครับ
“ตอนเด็กๆ ถึงแม้คุณแม่ต้องออกไปทำงาน ไปร้องเพลงตลอด ผมก็ไม่รู้สึกเหงาหรืออ้างว้าง คุณแม่ไปทำงานตอนกลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่ผมหลับตอนนั้น จำได้ว่าตื่นมาก็เจอคุณแม่แล้ว เลยไม่รู้สึกเหงา ถ้าต้องอยู่คนเดียวก็เหมือนคนทั่วไป ดูหนัง ดูวิดีโอ อยู่คนเดียวได้ครับ”
คุณแม่เล่าว่าสมัยเด็ก ทอยมีแววเป็นนักธุรกิจมากกว่านักดนตรีเสียอีก “ใช่ครับ ผมชอบเกี่ยวกับการบริหาร การครีเอทสินค้า ผมอยากทำธุรกิจ ทุกวันนี้ยังอยากทำอยู่ฮะ ที่หันเหมาทางด้านดนตรี คือผมชินกับบรรยากาศแบบนี้ของที่บ้าน บ้านผมเป็นนักดนตรี อยู่ในแวดวงเพลงกันหมดเลย เหมือนเป็นความเคยชิน จริงๆ ผมไม่คิดจะมาเป็นนักร้องนะ ทุกวันนี้ยังเหมือนเรื่องตลกอยู่เลย
“เป้าหมายของผมมีแค่สองความฝัน ทำดนตรีกับทำธุรกิจ ธุรกิจที่อยากทำคืออะไรก็ได้ที่ใช้ความครีเอท ผมชอบเรื่องครีเอทีฟ อย่างเช่นไอศกรีม คิดเปิดร้านไอศรีมที่ไม่เหมือนใคร หรือร้านอาหาร คือมันทำอะไรได้อีกเยอะเลย ส่วนเส้นทางดนตรีก็ปล่อยไปตามที่เป็น ไม่ได้กำหนดอะไร ให้มันไหลไปเหมือนลูกบอล เข้าประตูก็เข้า ไม่เข้าก็ไม่เป็นไร”

ส่วนการรับมือกระแสโจมตีเรื่องบุคลิกภาพที่ยังมีมาเป็นระยะๆ เจ้าตัวเลือกจะปล่อยวาง “ผมไม่ได้สนใจเลย เพราะคิดว่าคนเราชอบไม่เหมือนกันอยู่แล้ว วิธีการมองโลกเป็นเรื่องของใครของมัน สมมติพี่ชอบสีฟ้า ผมไม่ชอบ ผมว่ามันจืดไป ผมชอบสีแดง คนไม่ได้ชอบสีเดียวกันทั้งหมด ต่างคนต่างมีสีที่ตัวเองชอบ สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับทัศนคติของคน
“คอมเมนต์ต่างๆ ผมอ่านแค่ที่สนใจ เช่น ของกิน ถ้าพูดถึงเรื่องอาหาร เรื่องของกินอะไรอร่อย หรืออะไรที่ตลก ขำๆ ผมถึงอ่าน แต่พวกคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่มีเหตุผล ผมยังไม่รู้เลยว่าประโยชน์ของมันคือสิ่งใด”
พูดถึงสไตล์การเลี้ยงดูของบ้านบุญสูงเนิน ที่เจ้าตัวคิดว่าเป็นจุดแข็งของครอบครัว คือการที่คุณแม่ให้อิสระในการคิดและตัดสินใจ “แม่เลี้ยงเรามาในแบบที่ให้คิดเอง และเขาไม่ชี้นิ้วบอกว่าทำอย่างนี้ๆ นะ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตามต้องรู้จักคิดเอง สมมติเราไปอยู่ในที่แย่ๆ หรือที่ไหน ถ้าเราคิดได้เองก็ไม่ต้องมีคนชี้นิ้วบอก
“ตัวผมเองไม่ค่อยปรึกษาใคร ผมกลัวเขาไม่เข้าใจเรา แล้วก็กลัวเราไม่เข้าใจเขาด้วย เลยไม่ค่อยขอคำปรึกษา สมมติเรื่องไหนสงสัยหรือไม่เข้าใจ ผมจำเป็นต้องหาคำตอบให้ได้ ไม่อย่างนั้นนอนไม่หลับ สมองจะครุ่นคิด ทำไมเรื่องนี้เป็นอย่างนี้ เรื่องนั้นเป็นอย่างนั้น แล้วนอนยาก

“ตัวผมเองโชคดีมากที่ทางบ้านเข้าใจ นึกออกใช่ไหมครับ ถ้าคุณแม่ไม่เข้าใจว่าทำไมเส้นทางที่เราเลือกเดินถึงแตกต่างจากคนอื่น อะไรๆ คงยาก และผมคิดว่าคนส่วนใหญ่คงไม่สามารถเข้าใจได้แบบคุณแม่”
แม้จะเติบโตมาในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน แต่ศิลปินหนุ่มกล่าวว่าสภาพการณ์เช่นนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย “ผมไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาเลย การที่คนเราแยกทางกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ผมเลยไม่ได้รู้สึกถึงปัญหา ไม่มีอะไรเปลี่ยนจากเดิม ทุกอย่างมันเต็มอยู่แล้ว ไม่ได้ขาดอะไรหรือต้องเติมอะไรมาทดแทน
“ผมเชื่อว่า ไม่ว่าครอบครัวรูปแบบใดย่อมดีทั้งนั้น จะอยู่กับพ่อคนเดียว หรือแม่คนเดียว หรือพ่ออยู่กับแม่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นดีหมด ทุกสิ่งที่เราเลือก หรือทุกสิ่งที่ใครก็ตามเลือกให้ มันคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
“ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมคิดสามารถแนะนำหรือช่วยเหลือใครได้ แต่ไม่มีใครเลือกเกิดได้ ตั้งแต่เกิดมาทุกอย่างก็ดีมากๆ อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ไม่ดีคือการพยายามเปลี่ยนแปลงอะไร ผมหมายถึงการไม่ยอมรับสิ่งที่เป็น บางคนอาจคิดว่าทำไมบ้านเราเป็นแบบนี้ ทำไมครอบครัวเราเป็นอย่างนี้ ผมว่าอันนี้แหละคือขวากหนามความคิดที่น่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะมันจะกำจัดสิ่งดีๆ ในชีวิตออกไป จนเกิดเป็นปัญหา”

ขอบคุณสถานที่
โรงแรม เดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
333 ถนนศรีนครินทร์ แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ
กรุงเทพมหานคร 10240
โทรศัพท์: 0 2378 8000