ตุ่นแว่น

0
1596

♥ ตุ่นแว่น ♥
……………………………..

“เธอไม่ใช่มีน หรือไม่ก็เกิดอะไรบางอย่างที่แปลกมากๆ ขึ้นแน่ๆ” ฉันพูดออกไปเสียงสั่น หลังจากรวบรวมความกล้ามาตลอดช่วงเช้า เหงื่อที่ไหลซึมออกมาทำให้ดั้งแว่นตาเลื่อนลง ฉันขยับมือดันมันขึ้นที่เดิม แล้วกลืนน้ำลาย รอฟังคำตอบจากคนที่อยู่ตรงหน้า ที่แน่ใจว่าเป็นคนอื่น แม้ภายนอกจะดูเหมือน มีน เพื่อนรักของฉันทุกประการ

ไม่มีร่องรอยความประหลาดใจหรือตกใจอย่างที่ฉันคิดหรืออย่างที่มีนในภาวะปกติจะทำหากได้ยินคำพูดแบบนี้ เด็กสาวตรงหน้าฉันเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากแล้วถอนหายใจ “คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”

ฉันยังคงจ้องหน้าเธอนิ่ง ใจเต้นตึกตักตามประสาคนขี้ขลาดที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป “มีนไม่เคยต้องดูตารางสอน มีนจำได้ทุกคาบทุกวิชาทุกรายละเอียด แล้วมีนก็ไม่เคยย้อนเถียงครูในห้องเรียนแบบนั้น”

มีนยิ้มตาหยีโชว์ฟันเขี้ยวน่ารัก ถอนหายใจแล้วเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ในดวงตาช่างฝันของเธอเศร้าหม่นจนแม้รอยยิ้มปลอมๆ นั้นก็กลบไม่มิด “แกก็จับฉันได้ทุกทีสิน่า เอาเถอะ ฉันสารภาพก็ได้”

คาบพักกลางวัน ทุกคนออกไปกินข้าวกันหมด ไม่มีใครอยากอุดอู้นั่งอยู่ในห้องเรียนแบบนี้หรอก เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กดังแซ่วอยู่ด้านนอก กลิ่นลูกชิ้นทอดจากโรงอาหารที่อยู่ไม่ไกลอาคารลอยมาแตะจมูก สายลมฤดูหนาวทำอะไรเราไม่ได้มากนักในตอนเที่ยงแดดเปรี้ยงแบบนี้ แต่กระนั้นฉันก็ยังต้องกอดเสื้อไหมพรมสีตุ่นตัวโปรดเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกหนาวสะท้านแปลกๆ จากภายใน

“อย่าระแวงไปเลยยัยตุ่นแว่น ฉันไม่ใช่ตัวละครในนิยายสยองขวัญของแกสักหน่อย ไม่กินแกหรอกน่า”

คำว่า ‘ยัยตุ่นแว่น’ ฉายาประจำของฉันที่เธอเคยเรียกล้อเลียนทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย หลังจากได้ฟังเรื่องราวประหลาด เด็กสาวผมม้าน่ารักตรงหน้าฉันเพิ่งจะบอกว่า ในโลกของเธอหลายสิบปีต่อจากนี้ มีบริการส่งคนกลับมายังอดีต และเธอก็เลือกมาที่นี่เวลานี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอไม่ใช่คนอื่น แต่คือมีนอายุ 45 ปี ในร่างเด็กมัธยมอายุ 15 จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าแคลคูลัสคืออะไร แต่ดันจำได้ว่าเคยเรียกฉันว่า “ยัยตุ่นแว่น”

ฉันก้มมองรองเท้านักเรียนหัวทู่ของเราทั้งสองคน ทั้งห้องมีแค่เราสองคนที่ให้รองเท้าหัวทู่แบบนี้ เพราะสมัยนี้วัยรุ่นเขานิยมแบบหัวเรียวๆ กันหมดมันทำให้เท้าและน่องดูเล็กเรียวไม่เทอะทะเหมือนเด็กประถม มีนยืนยันว่ารองเท้าหัวทู่จะกลับมาฮิตแน่ภายในสิ้นปีนี้ และตอนนั้นเราอาจจะไปหาซื้อรองเท้าหัวแหลมมาใส่กันเพื่อไม่ให้เหมือนคนอื่นๆ ฉันหัวเราะกับเรื่องนั้น ฉันกับมีนมีบางอย่างคล้ายกัน แม้ภายนอกจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง เราเคยแข่งกันขโมยนาฬิกาข้อมือจากข้อมือเพื่อนๆ แข่งกันภายในเวลาช่วงพักกลางวัน เหยื่อของใครรู้ตัวว่านาฬิกาหายก่อนถือว่าคนนั้นแพ้ เรื่องนี้ฉันอดภูมิใจไม่ได้ว่า ฉันไม่เคยแพ้มีนเลย  ก็ใครกันจะมาสงสัยตุ่นขี้ขลาดใส่แว่นตาหนาเตอะอย่างฉัน บางทีฉันเองยังสงสัยว่าจะมีใครจำหน้าฉันจริงๆ ได้บ้าง ถ้าฉันไม่ได้เดินกอดหนังสือกับแฟ้มรายงานเดินมองพื้นตลอดเวลา

“แล้วที่ว่าจับได้ทุกทีน่ะ หมายความว่ายังไง” ฉันออกจะยังข้องใจกับประโยคนั้น ‘ทุกที’ หมายความว่าไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งเดียว ไม่ใช่เหรอ?

“อื้ม” มีนพยักหน้า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอก ฉันกลับมาที่นี่เวลานี้หลายรอบละ ก่อนหน้านี้ก็พยายามจะเนียนอยู่หรอก แต่รายละเอียดหลายๆ อย่างมันจำไม่ได้ แล้วก็ดันมาเป็นเพื่อนกับยัยตุ่นแว่นขี้ระแวงแบบแกด้วย ตอบคำถามบ่อยๆ ก็ขี้เกียจแล้วละ เล่าไปเลยทีเดียวดีกว่า สะดวกดี”

ฉันไม่รู้ว่าอากาศมันร้อนขึ้นหรือตัวเองตื่นเต้นจนหน้าร้อน กระจกแว่นตามีไอน้ำเกาะเป็นฝ้าบางๆ ฉันไม่กล้าถอดมันออกมาเช็ด เพราะไม่กล้าละสายตาไปจากมีน ที่ยิ่งดูก็ยิ่งต่าง กิริยาท่าทางของเธอนิ่งขึ้น และดูมีอายุมากขึ้นจริงๆ ด้วย “แล้วรู้ได้ไงว่าฉันจะเชื่อแก เรื่องประหลาดๆ แบบนี้”

มีนเลิกคิ้ว “ก็… อีกครึ่งชั่วโมงจะมีฝนไล่ช้างเม็ดเป้ง พวกเตะบอลเปียกเป็นหมาตกน้ำกันหมด แล้วออดเข้าเรียนบ่ายก็จะช็อตค้างเป็นนาที อืม เดี๋ยวก่อนนะ ไอ้บ๊วยโดนเด็ก ม.ต้นอ้วกใส่รองเท้าถุงเท้าเปียกแฉะ เหม็นหึ่ง มันเลยเดินเท้าเปล่าเรียนไปอีกครึ่งวัน ครั้งก่อนๆ ฉันบอกเรื่องพวกนี้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง แล้วแกถึงจะเชื่อ คิดว่ารอบนี้ก็คงได้ผลแหละ” มีนพูดไปเอนหลังพิงพนักพลางยกขาไขว่ห้างในแบบที่มีนขี้อายคนเดิมจะไม่ทำ

ฉันขยับแว่นอีกครั้ง “ผลสอบล่ะ ผลสอบอังกฤษ คะแนนฉันเป็นไง” ตอนทำข้อสอบฉันไม่ค่อยแน่ใจอยู่หลายข้อ วันนี้จึงค่อนข้างกังวลกับเรื่องนี้ และถ้าเป็นตัวเลข การทำนายล่วงหน้าแบบเดาสุ่มอาจจะทำได้ยาก

“มันจะน่าประหลาดใจตรงไหนล่ะ แกก็ท็อปเหมือนทุกทีแหละยัยตุ่นแว่น” มีนว่า “ตอนที่อาจารย์คืนกระดาษคำตอบมา แกบอกว่าแกมั่นใจข้อแปด แต่ดันผิดซะได้ นั่นเป็นข้อเดียวที่แกทำผิด แล้วก็คิดไม่ตรงกับอาจารย์ด้วย”

น่าแปลก ที่ฉันเองกลับไม่ค่อยประหลาดใจ เมื่อสิ่งที่มีนพูดไว้ทยอยเกิดขึ้นทีละอย่างแบบตรงเป๊ะ เริ่มตั้งแต่ฝนไล่ช้างที่กระหึ่มมาจากทิศตะวันตกถล่มโรงเรียนเราได้ห้านาทีก็หายไปเฉยๆ แดดกลับสว่างจ้าเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นนักเรียนเกือบทุกคนในโรงเรียนต้องยกนิ้วอุดหูเพราะออดดังค้างจนประสาทจะเสีย เสียงดังอย่างกับหวอเตือนสึนามิ ส่วนไอ้บ๊วย… เอ่อ อย่าให้เล่าเลย ว่าสภาพเป็นยังไง รู้แค่กลิ่นเหม็นเปรี้ยวตลบไปทั้งห้องตลอดคาบบ่าย จนอาจารย์อังกฤษแทบจะอ๊อกออกมาหน้าห้อง

“ข้อแปดน่ะ แกถูกแล้ว แต่อาจารย์เฉลยผิดตะหาก” มีนเอนตัวมากระซิบหลังแจ้งคะแนนสอบกลางภาค “จะให้ฉันเถียงแทนไหม”

ฉันรีบส่ายหน้า “ไม่ๆ ไม่ต้อง ไม่อยากมีปัญหา”

มีนกลอกตา “โธ่ ยัยตุ่นโง่เอ๊ย เอาเหอะ ตามใจแก”

ดูเหมือนมีนเองก็พยายามจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติ เข้าเรียน วาดรูปเล่นในคาบ นั่งเหม่อออกไปนอกประตูพลางอมยิ้ม จนฉันประหลาดใจว่า ถ้าจะย้อนอดีตกลับมาทำอะไรเดิมๆ แบบนี้จะมาทำไม

“ให้ฉันเดานะ เรื่องพี่ภูมิใช่ไหม” ฉันโพล่งถามเมื่อเข้าคาบอิสระและเพื่อนคนอื่นๆ เริ่มทยอยออกไปพักผ่อนนอกห้อง บางคนก็ฟุบนอนหลับกับโต๊ะ บางคนก็ควักมือถือออกมานั่งดูยูทูบ

ดูเหมือนตีถูกจุด มีนสะดุดนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วยิ้มเศร้าๆ “อย่างว่าแหละ แกมันตุ่นแว่นหัวไว รู้ไปซะหมด ใช่ ทุกครั้งที่ฉันกลับมาก็เพราะเรื่องของฉันกับพี่ภูมินั่นแหละ”

 

ออดเลิกเรียนดังขึ้น เราสองคนเก็บกระเป๋า ยกเก้าอี้ขึ้น สะพายเป้เดินออกไปที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นพิกุลตัวที่เรานั่งกันประจำระหว่างทางเดินออกไปที่ประตูโรงเรียน นั่งมองบรรดานักเรียนทยอยเดินกลับบ้าน บ้างหัวเราะต่อกระซิก บ้างเดินกันมาเป็นคู่ๆ ไม่ไกลนัก พวกทีมฟุตบอลโรงเรียนกำลังซ้อมกันอยู่ที่สนามหญ้า แดดยามเย็นเริ่มคลายความร้อนลงแล้ว ลมหนาวจึงทำหน้าของมันได้ง่ายขึ้น ฉันขยับกอดอกแน่นขึ้นอีก ถึงฉันจะคิดว่าตัวเองค่อนข้างอ้วนเกินไปสำหรับชีวิตวัยรุ่น แต่ไขมันหนาๆ ใต้ผิวหนังไม่ได้ช่วยอะไรเลยเมื่อถึงหน้าหนาว  มันหนาวจนฉันสงสัยว่าพวกที่ไม่ใส่เสื้อกันหนาวมานี่ทนอยู่กันได้ยังไง

มีนนั่งเท้าคาง ยิ้มน้อยๆ ทอดสายตาไปที่สนามฟุตบอลที่พวกผู้ชายกำลังวิ่งไล่แย่งลูกกันเหงื่อซ่ก ไม่ต้องเข้าไปใกล้ก็แทบจะได้กลิ่นสาบเหงื่อลอยหึ่งออกมาเลยทีเดียว

พี่ภูมิเป็นรุ่นพี่ที่เพิ่งเข้ามาเมื่อปีที่แล้ว เป็นนักกีฬาฟุตบอลโรงเรียน หน้าตาคม คิ้วเข้มผิวขาวใส บางมุม ณเดชน์อายก็แล้วกัน สาวๆ ปลื้มกันทั้งโรงเรียน ที่จริงต้องบอกว่าทั้งจังหวัด ดูได้จากรั้วหน้าโรงเรียนที่มีเด็กสาวโรงเรียนอื่นมาเกาะดูกันพรึ่บเหมือนทุกที ส่งเสียงกิ๊วก๊าวราวกับกำลังดูคอนเสิร์ตนักร้องเกาหลี หลายคนยกมือถือขึ้นถ่ายภาพนิ่งบ้าง วิดีโอบ้าง พี่ภูมิวิ่งเลี้ยงลูกเฉียดเข้าไปใกล้ทีก็กรี๊ดกันสนั่นคอแทบแตก

“แกมีเวลาแค่วันเดียวไม่ใช่เหรอมีน แกจะไม่ทำอะไรหน่อยเหรอ นอกจากนั่งเพ้อดูมวลหมู่ภมรรุมตอมดอกไม้อย่างงั้นน่ะ”

มีนหัวเราะลงลูกคออย่างชอบใจ “แมลงวันตอมอึก็เยอะแบบนี้เหมือนกันนะ” แล้วก็กลับดูเศร้าลงอีก

“ฉันไม่ได้กลับมาเป็นครั้งแรก แกก็รู้… แต่ละครั้งฉันพยายามลองทำทุกอย่าง เพื่อสะสางสิ่งที่ติดค้างในใจฉันมาตลอดสามสิบปี แล้วทั้งๆ ที่รู้ว่าฉันไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ แต่ก็ยังกระหายที่จะลองใหม่อีกครั้งเหมือนเสพติด แต่ครั้งนี้ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามรูปตามรอยของมัน จะไม่พยายามทำหรือเปลี่ยนอะไรอีกแล้ว ฉันแค่อยากกลับมาอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย”

ฉันใจหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อได้ยินคำว่าครั้งสุดท้าย “ทำไมถึงเป็นครั้งสุดท้าย แกแน่ใจได้ไงว่าจะไม่อยากกลับมาอีก ก็แกเพิ่งบอกเองว่าแกติด”

มีนยิ้มเศร้าๆ “ใช่ ฉันก็ไม่ได้บอกว่าไม่อยากกลับมาอีก แต่ฉันไม่มีจ่ายแล้ว ฉันหมดตัวแล้ว ซื้อบริการไม่ได้อีก”

“แต่แกบอกเองนี่ว่าบริการนี้ไม่ได้ใช้เงิน แต่ต้องแลกอายุขัย… หรือ… หรือว่า” คราวนี้ฉันตกใจจริงๆ อย่าบอกนะว่ามีนใช้อายุขัยที่เหลือของตัวเองจนหมด เพื่อแลกกับการกลับมาที่นี่!!

เด็กสาวตรงหน้าอมยิ้มแก้มป่องตาหยี “ไม่ใช่หมดธรรมดา หมดระดับติดลบ จนฉันต้องต่อรองว่า ขอให้ได้มาเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะไม่มีวันได้กลับไปอีกก็ยอม”

คำตอบนั้นทำให้ฉันนิ่งอึ้งไป การได้กลับมาที่นี่ เวลานี้ มันสำคัญกับมีนมากถึงกับต้องแลกชีวิตที่เหลือทั้งหมดเลยเชียวเหรอ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันอยากถาม แต่กลับปล่อยให้ความเงียบแทรกระหว่างเราชั่วขณะ ฉันไม่รู้หรอก ว่าผู้หญิงอายุ 45 เขาคิดเขาทำอะไรยังไงบ้าง แต่ถ้าตอนนั้นเรายังเป็นเพื่อนกัน ฉันคงไม่ต้องการให้มีนทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ จริงสิ!

“แล้ว ในเวลาที่แกอยู่ ตอนอายุ 45 ฉันเป็นยังไงบ้าง” ฉันโพล่งถามออกไปแล้วก็ตกใจตัวเอง หวาดหวั่นกับคำตอบที่กำลังจะได้ยิน กะว่าจะห้ามมีนว่าไม่ต้องเล่า แต่เธอก็พูดออกมาก่อนว่า

“ฉันไม่รู้หรอก” มีนก้มหน้าหลบสายตาไปทางอื่น “เราไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปีแล้ว”

คำตอบนั้นจะหมายถึงอะไรได้บ้าง หากเป็นประโยคในนิยาย ฉันอาจตีความได้ว่า ตัวฉันในตอนนั้นกับมีน เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกต่อไปแล้ว อาจจะมีปัญหารุนแรงที่ทำให้ต้องตัดขาด หรืออาจแค่เวลาและกระแสชีวิตที่ต่างกันพัดพาเราไปไกลจนเกินกว่าจะต่อติด หรืออีกทางหนึ่ง ฉันไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกับมีนอีกแล้ว… ฉันอาจจะเป็นตัวตุ่นที่เดินก้มหน้าตาหยีออกจากรูเพื่อข้ามถนนไปโดนรถเมล์เล็กฝ่าไฟแดงออกมาชนตายไปตั้งแต่ก่อนจะจบมหาวิทยาลัย เอาเถอะ บางทีไม่รู้อะไรไปเลยยังจะดีซะกว่า

“แกมีเวลาถึงเมื่อไหร่ เที่ยงคืน เหมือนซินเดอเรลล่าไหม”

มีนส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ทุกทีก็ 24 ชม.น่ะแหละ แต่อย่างที่บอก คราวนี้ฉันต่อรองขอมาเป็นกรณีพิเศษ คงต้องแล้วแต่ความเมตตาของผู้คุมเวลา”

ในดวงตาของเด็กสาวตรงหน้าดูเข้มแข็งจริงจัง ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุอย่างน่าประหลาด ตอนนี้มีนมองมาที่ฉัน เอื้อมมือมาแตะที่บ่าแล้วเริ่มต้นพูดกับฉันเหมือนที่ผู้ใหญ่ใจดีจะสอนเด็กๆ “ฟังนะกานต์” นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่มีนเรียกชื่อฉันแทนคำว่ายัยตุ่นแว่น เธอมักจะเรียกชื่อจริงฉันเฉพาะเวลาที่ต้องการพูดเรื่องจริงจัง

“แกน่ะ เลิกเดินตัวห่อๆ หลังงอๆ แบบนั้นได้แล้ว ฉันรู้ว่าแกอายนมใหญ่ วัยรุ่นก็อย่างงี้ แต่รู้ไหม ผู้หญิงนมใหญ่น่ะฮอตขนาดไหน อีกหน่อยเธอจะขอบคุณพันธุกรรมของแม่ที่ทำให้แกใส่ชุดเดรสสวยๆ ได้โดยไม่ต้องยัดซิลิโคนหรือฟองน้ำ”

ฉันกอดอกแน่นเข้าไปอีก “ไอ้บ้า!” รู้สึกถึงเลือดอุ่นๆ ฉีดแก้มจนร้อน มีนรู้ปัญหาของฉันมาตลอด แต่ก็ไม่เคยพูดตรงๆ ขนาดนี้เลย

“วัยรุ่นนมโตๆ หายากนะแก รู้จักแต่งตัวหน่อย ขี้คร้านจะดังเหมือนมันแกว” มีนว่าพลางยิ้ม

ฉันขมวดคิ้วยุ่ง “แต่ฉันไม่อยากเป็นเหมือนมันแกวนี่หว่า”

“ทำไมอ่ะ เขาน่ารักออก เป็นเซเลปด้วย”

“ก็ฉันไม่อยากเป็นคนที่ผู้ชายเห็นแล้วไม่นึกอะไรอย่างอื่นนอกจากอยากควักไอ้นั่นออกมายิกๆ”

คราวนี้มีนระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น จนคนที่เดินผ่านไปมาหันมอง “ไอ้บ้า ฉันก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่อยากบอกว่า แกควรจะภูมิใจในตัวเอง เดินหลังตรง เงยหน้ามองผู้คนบ้างไม่ใช่เอาแต่ก้มมองพื้น ผิวแกสวย ตาแกก็สวย หัดใส่คอนแทคเลนส์แทนซะ จะได้ไม่ต้องมาพะวงขยับแว่นตลอดแบบนี้อีก แกจะเป็นคนสวยคนนึง แต่อาจจะสวยมากกว่าที่ฉันเคยเห็นอีก ถ้าเริ่มซะตั้งแต่ตอนนี้”

“หยั่งกับว่าฉันสนเรื่องสวยงามอะไรนั่นนักงั้นแหละ” ฉันบ่นพึมพำ แต่ดูเหมือนมีนจะไม่ได้สนใจฟังแล้ว เธอทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สายตาเธอจ้องไปที่ข้างสนามฟุตบอล ที่นักกีฬาบางคนทยอยเดินมาดื่มน้ำจากถังที่เพิ่งยกเข้ามา

จู่ๆ มีนก็ลุกยืนขึ้น รีบเดินตรงเข้าไปที่นั่น “เฮ้ย มีน จะไปไหน” ฉันร้องเรียก แต่เธอไม่หันกลับมาสักนิด

โดยไม่มีใครทันตั้งตัว วินาทีนั้นฉันนึกว่าสายตาฉันทำพิษเอาแล้ว ตอนที่เห็นมีนเดินผ่านหน้าพี่ภูมิไป ตรงไปที่ถังน้ำแล้วดึง ไอ้ตี๋ เพื่อนห้องคิงที่กำลังเติมน้ำมาหอมแก้มฟอดใหญ่จนแว่นตาของไอ้ตี๋กระเด็นหลุดไปบนพื้นสนาม จนคนในสนามตกตะลึงอ้าปากค้างเงียบกันไปหมด แล้วมีนก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะหน้าตาเฉย

มีนหันมายิ้มให้ฉัน “ทำตาโตขนาดนั้นประเดี๋ยวมันก็หลุดกระเด็นออกมาหรอก ปากก็หุบได้แล้ว แมลงวันบินเข้าไปวางไข่แล้ว”

ฉันยังอึ้งไม่หาย “ไหนว่าจะไม่เปลี่ยนอะไรไง แล้วตะกี๊นี่มันอะไร”

สายตาทุกคู่ยังคงมองมาที่โต๊ะเราจนฉันอยากจะมุดแผ่นดินหนีมันซะตรงนั้น

เด็กสาวผมหน้าม้าหัวเราะ “เปลี่ยนใจละไง” แล้วเธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตี๋คือสามีในอนาคตของฉัน คือพ่อของลูก ที่ฉันไม่เคยมองเห็นค่าเลย กว่าจะมานึกได้ก็สายไปแล้ว แกดูฉันไว้นะ อย่าเป็นแบบฉัน อย่าทำอะไรที่อีกสามสิบปีจะนึกอยากกลับมาแก้ไขใหม่ อยากทำอะไรทำไปเลยถ้าแกมั่นใจว่าเป็นความต้องการของแกจริงๆ” แล้วมีนก็ขยับเข้ามาใกล้ฉัน กอดฉันแน่น เสียงเศร้าๆ “ดีใจที่ได้เป็นเพื่อนแกนะยัยตุ่นแว่น เงยหน้าจากหนังสือมามองอย่างอื่นบ้าง เชื่อฉัน แล้วแกจะไม่ต้องใช้บริการของผู้คุมเวลา”

วินาทีนั้นฉันรู้สึกใจหาย รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างกำลังจะจากไปตลอดกาล แต่แค่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมา มีนในอ้อมกอดก็ตัวแข็งทื่อซะเฉยๆ

“ตุ่นแว่น แกกอดฉันทำไมวะเนี่ย เฮี้ยนอะไรขึ้นมา” น้ำเสียงแหลมสดใสของมีนคนเดินที่ฉันเคยรู้จักมาตลอดหลายปีกลับมาแล้ว

“แค่ทำข้อสอบผิดไปข้อเดียวไม่ตายหรอกแก ยังไงก็ท็อปอยู่ดีน่า” ว่าแล้วมีนก็ผละจากฉัน แล้วหันไปมองที่สนามฟุตบอล ก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดปากหน้าแดงก่ำ “เฮ้ยแก ตายแล้วๆ ดูดิ พี่ภูมิมองฉันด้วยอ่ะ” มีนกระซิบละล่ำละลัก ดวงตาเล็กหยีใสแจ๋วซื่อบริสุทธิ์มีประกายระยิบระยับสมวัย

               ฉันไม่สามารถบังคับตัวเองได้ ที่ทั้งหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กัน และคงจะเป็นเช่นนี้อีกหลายครั้ง เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวประหลาดๆ ในวันนี้

………………………………………..

เกิดและเติบโตที่ อ.เมือง จ.ตาก ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เขียนหนังสือได้หลายแนวทั้งนิยาย นิทาน เรื่องสั้น วรรณกรรมเด็ก เรื่องแนวสยองขวัญได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ มีการแปลและวางขายในต่างประเทศ

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here