ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกๆ ท่าน “ธรรมะอมยิ้ม” มาอีกแล้ว มาพร้อมกับปีใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม
โยม อะไรที่เก่าๆ ก็ทิ้งไป ขี้เหล้า ขี้ยาก็ทิ้งไป ขี้บ่น ขี้บูดก็ทิ้งไป ขี้อิจฉา ขี้นินทาก็ทิ้งไป ขี้หึง ขี้หวงก็ทิ้งไป นิสัยเก่าที่ไม่ดีก็ทิ้งไป ผัวเก่า เมียเก่าก็ทิ้งไป อุ๊ย! มือลั่น ไม่ได้นะโยม ไม่ได้ ผัวเก่าเมียเก่าต้องรักษา ถ้าทิ้งขว้างเขาจะหาว่าทำลายวัตถุโบราณ มีความผิดทางกฎหมายด้วยนะจะบอกให้
สิ่งที่เราต้องทิ้งคือ นิสัยไม่ดีที่ทำให้ชีวิตของเราไม่เจริญรุ่งเรือง เรื่องแบบนี้เราต้องทิ้งไป
เราต้องใจแข็ง แรกๆ มันอาจจะฝืนความรู้สึก ถ้าเมื่อไหร่ที่เราทำได้ เราจะรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แต่ที่โยมจะได้แน่ๆ คือ ชีวิตที่ดีขึ้น ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ เรายิ่งต้องประหยัด
โยมทุกท่าน ถ้าเราต้องการความเจริญก้าวหน้า เราต้องฝึกมองข้อเสียของตนเอง คนส่วนมากไม่ค่อยมองข้อเสียของตัวเอง แต่พยายามเพ่งเล็งข้อเสียของคนอื่น เรามักจะมองข้อเสียตนเองว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอคนอื่นผิดพลาดเป็นเรื่องใหญ่ แบบนี้เขาจึงกล่าวว่า
โทษคนอื่นมองเห็นเช่นภูเขา | โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน | |
ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเราเหลือทน | ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร |
คนเราจะมองเห็นคนอื่นมากกว่าเห็นตัวเอง จึงเป็นเหตุให้คนส่วนมากจ้องมองแต่ความผิดของคนอื่น มากกว่ามองความผิดตนเอง เรียกว่าวันหนึ่งๆ แทบจะไม่เคยตำหนิตัวเองเลย ตำหนิแต่คนอื่นทั้งนั้น เพราะเหตุนี้จึงมีคำกล่าวว่า
“ความผิดของผู้อื่นเห็นได้ง่าย ส่วนความผิดของตนมองเห็นได้ยาก” คนแบบนี้รู้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องตัวเอง
โยมทั้งหลาย ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ คนส่วนมากย่อมมีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น จะเป็นสิ่งที่ดีเชียวละ ถ้าเราฝึกมองให้เห็นข้อบกพร่องของตนเอง เรียกว่ามองตนเองให้ออก บอกตนเองให้ได้ ใช้ตนเองให้เป็น เห็นตัวเองให้ชัด จัดตัวเองให้เป็นระบบ ถ้าเป็นแบบนี้ชีวิตก้าวหน้าแน่โยม
โยมทุกท่านที่รู้จักมองตนเอง จัดตนเอง แก้ไขตนเอง คนแบบนี้เป็นคนที่มีธรรมะอยู่ในใจ เพราะธรรมะเป็นเหมือนกระจกเงาสะท้อนตัวเราหากเรามองเห็นตัวเองได้จะมีประโยชน์มาก เพราะจะรู้ว่าตัวเองมีนิสัยดี หรือไม่ดีอย่างไร
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนพวกเราว่า “อัตตา อัตตะนา โจทะยัตตานัง แปลว่า จงเตือนตนด้วยตนเอง”
โยม ถ้าเราเตือนตนด้วยตนเองได้ ถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ อย่าให้ตัณหาพาไป เพราะความบรรลัยจะรออยู่
ถ้าพูดถึงโทษของตัณหา อาตมาขอหยิบยกนิทานมาเล่าให้โยมฟังแล้วกัน จะได้เข้าใจง่าย
เรื่องมีอยู่ว่า มีกบตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในสระใกล้กุฏิของพระในวัดแห่งหนึ่ง ทุกเช้ามันจะโดดออกจากสระขึ้นไปหมอบอยู่ริมทางเดิน มันเห็นพระเดินออกไปบิณฑบาตและเห็นโลกกว้างทุกวัน
อยู่มาเช้าวันหนึ่ง มันเห็นพระออกไปบิณฑบาต ไม่นานก็กลับวัดพร้อมด้วยข้าวเต็มบาตร มีกับข้าวและขนมเต็มย่าม
มันจึงคิดว่า “เออ เป็นพระนี่ก็ดีเหมือนกันนะ ดีกว่าเราเป็นไหนๆ แค่เดินเข้าบ้านไปชั่วโมงเดียว ก็ได้อาหารมากมาย”
หลังจากพระฉันอาหารเสร็จแล้ว ท่านก็นำเศษข้าวมาโปรยให้ฝูงไก่กิน
กบเห็นเข้าก็คิดอยากเป็นไก่ “อ๊ะ เป็นไก่นี่ดีกว่าพระอีก ไม่ต้องเดินไปหากินไกลๆ ถึงเวลาพระก็มาโปรยข้าวให้กิน สบายดีจริงๆ”
ทันใดนั้น มีหมาวัดตัวหนึ่งเห็นไก่กำลังจิกอาหารกินอย่างเพลิดเพลิน จึงวิ่งมาไล่ไก่จนแตกกระเจิงไป กบเห็นเข้าก็อยากเป็นหมา “เป็นหมานี่ไม่เบาทีเดียว เป็นฮีโร่ไล่ไก่สนุกดี ทำอย่างไรเราจึงจะเป็นหมาได้หนอ”
ขณะกำลังคิดเพลินๆ อยู่ เด็กวัดคนหนึ่งเห็นหมาไล่ไก่เข้า ก็คว้าไม้ไล่ตีหมาจนร้องลั่นวัด กบเห็นเข้าถึงกับสะดุ้งโหยง คิดว่า “โธ่ เรานึกว่าหมาจะเก่ง ที่แท้สู้เด็กก็ไม่ได้ ขนาดเป็นเด็กหมายังกลัว ถ้าเป็นผู้ใหญ่คงปราบอะไรได้ทั้งหมด เราน่าจะเป็นคนดีกว่า” กบคิดเตลิดไปอีก
หลังจากเด็กวัดไล่ตีหมาแล้ว ก็มานั่งหอบอยู่บนม้านั่งใต้ร่มไม้ ขณะนั้นมีแมลงวันมาตอมแข้งตอมขา เด็กวัดก็ปัดแมลงวันให้วุ่น เมื่อทนรำคาญไม่ได้ก็ลุกหนีไปพลางบ่นว่า “รำคาญจริง ตอมได้ตอมดีไอ้พวกแมลงวันนี่”
กบได้ยินเสียงบ่นก็เลิกอยากเป็นคนทันที สู้เป็นแมลงวันไม่ได้ “หน็อย เป็นคนนึกว่าจะเก่ง ที่แท้ก็แพ้แมลงวันตัวเล็กนิดเดียว เป็นแมลงวันท่าจะดีเป็นแน่”
กำลังคิดเพลินอยู่นั้น พอดีแมลงวันตัวหนึ่งบินผ่านหน้ามันไป มันจึงใช้ลิ้นตวัดแมลงตัวนั้นเข้าปากไปด้วยสัญชาตญาณ พอได้สัมผัสแมลงวันเท่านั้น ตัณหาของกบก็สะดุดกึก มันเกิดดวงตาเห็นธรรมทันที พร้อมกับรำพึงว่า “เป็นอะไรก็ไม่สู้เป็นกูเอง”
โยมทั้งหลาย เรื่องนี้สื่อความได้ว่าอันความอยาก เช่น อยากได้ อยากมี อยากเป็น ซึ่งภาษาพระเรียกว่า “ตัณหา” นั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีจุดจบ หาฝั่งไม่เจอ เพราะเป็นเรื่องของใจ ใจจึงคิด อยากเรื่อยไป นี่เป็นธรรมดา
“สิ่งที่มากระทบน้ำ ทำให้เกิดคลื่นฉันใด สิ่งที่มากระทบใจ ทำให้เกิดทุกข์ฉันนั้น”
โยมทั้งหลาย เมื่อเราชอบ เราก็สุข เมื่อเราไม่ชอบ เราก็ทุกข์ เมื่อเราเฉยๆ เรานั้นย่อมสงบเย็น
โยม ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยให้เราได้เปรียบคนอื่น ยิ่งกว่าการควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่ง
เมื่อจิตนิ่ง แม้ว่าจะสุขเราก็ไม่หลง ถึงพบทุกข์ตรม เราก็ไม่ขื่นขมระทมใจ
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าคุณภาพจิตใจของเรามันสูงกว่าภาวะสุขหรือทุกข์ และคุณภาพจิตใจแบบนี้จะเป็นตัวกำหนดชีวิตเรา
เจริญพร
คอลัมน์: ธรรมะอมยิ้ม
เรื่อง: พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์
All magazine กุมภาพันธ์ 2563