Highlight • เด็กคนหนึ่งเรียนไม่ดี ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็ไม่ดี ตรงนี้เกิดจากนิสัยไม่ดีรึเปล่า จริงๆ อาจเป็นปัญหาทางสรีรวิทยาของสมอง • สรีรวิทยาของสมองเป็นอย่างไร? เราสามารถรู้ความลับของสมองได้ผ่านการวิเคราะห์ลายผิว ลายนิ้วมือ ลายนิ้วเท้า เป็นเอกลักษณ์ที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน • ลายนิ้วหัวแม่มือซ้ายและขวาสามารถวัดทักษะการจัดการ นิ้วชี้กับนิ้วกลางของเด็กที่มีอาการออทิสติกจะมีรหัสที่แตกต่างจากเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพร่องของพัฒนาการก็สามารถวิเคราะห์ผ่านทางลายผิว • เด็กบางคนเพื่อนๆ หรือสิ่งแวดล้อมมีผลต่อเขามาก ในขณะที่เด็กบางคนต้องให้รางวัลถึงจะทำ ความแตกต่างนี้ถ้าเรารู้และสนับสนุนได้เหมาะสม ตรงจุด ก็จะทำให้การเรียนรู้ของเขาก้าวหน้า และมีประสิทธิภาพ สามารถแข่งขันในอนาคตได้อย่างไร้ข้อจำกัด |
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาคือต้นทุนชีวิตที่สำคัญมาก ซึ่งผู้ปกครองต่างทุ่มเททั้งเวลา สติปัญญา และทุนทรัพย์ เพื่อวางแผนการศึกษาให้บุตรหลาน มีการสำรวจพบว่าประมาณร้อยละ 55 ของคนทำงานกล่าว งานแรกที่ทำไม่เกี่ยวข้องกับวิชาที่เรียนในมหาวิทยาลัยเลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว ความรู้ที่เราร่ำเรียนมา นำมาใช้งานได้จริงรึเปล่า?
ผู้ปกครองและครูมักเน้นความสำเร็จทางวิชาการ จนลืมคิดถึงสภาพจิตใจของเด็ก สำนักงานสวัสดิการของไต้หวันวิจัยและพบว่า ความเครียด ความกดดันจากการเรียนที่มาจากผู้ปกครองและครูนั้น ทำให้เด็กจำนวน 1 ใน 3 มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ และร้อยละ 3 เคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ทุ่มเทให้ กำลังทำให้ลูกมีความสุขอยู่หรือไม่?
ปัจจุบันทุกคนรู้ว่าความรู้ต่างๆ สามารถเสิร์ชหาได้จากอินเตอร์เน็ต ในอนาคต AI หรือคอมพิวเตอร์สมองกล อาจเอาชนะวิชาชีพที่เคยเป็นเรื่องยาก เช่น ทนายความ แพทย์ หากยังใช้การศึกษารูปแบบเดิมๆ สอนลูกหลาน จะต่อสู้กับสมองกลได้อย่างไร?
การศึกษาภาคบังคับนั้นสำคัญและสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนคนหนึ่งได้ ทว่าโครงสร้างแผนการศึกษาไม่ได้รับการปรับปรุงให้ทันยุคทันสมัย ครูก็สอนเป็นเวลานานจนไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในยุคสมัยที่ต้องต่อสู้แข่งขันกับสมองกล การศึกษาภาคบังคับได้ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์หรือไม่?
“อาจารย์เหลียนหยู้ซิ้ง” ผู้เชี่ยวชาญด้านลายผิววิทยา ตั้งคำถามข้างต้นเพื่อพาผู้เข้าฟังสัมนาฉุกคิดถึงประสิทธิภาพของการศึกษา ที่ลูกหลานของเรากำลังร่ำเรียนอยู่ขณะนี้ แท้จริงแล้วพร้อมรับการปรับเปลี่ยนของโลกยุคใหม่หรือไม่
ศูนย์วิเคราะห์ศักยภาพปัญญธารา หรือ P-PAC (Panyatara Potential Analysis Centre) หน่วยงานภายใต้ บริษัท ปัญญธารา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งโดย คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ให้บริการวิเคราะห์ลายผิว โดยเชื่อมโยงลายผิวกับการทำงานของสมอง มีวัตถุประสงค์ค้นหาความสามารถและศักยภาพของบุคคล ได้จัดงานสัมนาให้ความรู้ในหัวข้อ “การพัฒนาสติปัญญาเพื่อมุ่งสู่การศึกษารูปแบบใหม่” โดยนำศาสตร์ลายผิววิทยาเข้ามาช่วยชี้แนะเด็ก สร้างนักเรียนรู้แห่งอนาคต และค้นหาอัจฉริยภาพที่แท้จริง เพื่อปลดล็อคอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต วิทยากรคือ “อาจารย์เหลียนหยู้ซิ้ง” ปรมาจารย์ด้านศาสตร์ลายผิว งานจัดขึ้นที่ ซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม
อาจารย์เหลียนเปิดการบรรยายด้วยการตั้งคำถามที่ชี้ให้เห็นว่า การศึกษาแบบเดิมมีปัญหาอะไรบ้าง ซึ่งก็คือมีการชี้นำเด็กมากเกินไป ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนได้ช้าไม่ทันกับความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในโลก การศึกษาแบบเดิมเน้นวัดผลด้วยการสอบ เน้นการแก้โจทย์มากเกินไป วิธีการนี้ไม่ก่อให้เกิดการสร้างบุคลิกและทักษะเฉพาะตัวของเด็ก รวมทั้งไม่ได้สอนวิธีคิดที่มีประสิทธิภาพจนเกิดปัญหาแก่เด็กในอนาคต ดังนั้นหัวข้อหลักในการบรรยายจึงแบ่งออกเป็น 3 ข้อใหญ่ 1. เราจะชี้จำเด็กไปในทิศทางไหน 2. เราจะใช้ศาสตร์ลายผิวพัฒนาเด็กได้อย่างไร 3. เราจะสร้างนักเรียนรู้ในอนาคตได้อย่างไร
เราจะชี้นำเด็กไปในทิศทางไหน
การจะชี้นำเด็กได้อย่างเหมาะสมจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า การศึกษาแบบไหนที่จำเป็นและสำคัญ ในอนาคตต้องการนักศึกษาแบบไหน มีด้วยกัน 3 ข้อคือ
1. ในอนาคตเป็นยุคสมัยของความสนใจ มากกว่าการฝึกฝนทักษะ แม้การให้ความสำคัญในเรื่องวิชาการจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่การเรียนรู้ตามความสนใจก็เป็นสิ่งที่ต้องมุ่งเน้นไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
2. เปลี่ยนจากกฏเกณฑ์ต่างๆ สู่ความคิดสร้างสรรค์ ในเรื่องการคำนวณเราไม่อาจสู้สมองกลได้ แต่สิ่งที่จะทำให้มนุษย์โดดเด่นคือความคิดสร้างสรรค์ อนาคตเป็นยุคแห่งเอกลักษณ์เฉพาะตน ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ iphone ถ้าพูดถึงฟังก์ชั่นการใช้งานของการเป็นโทรศัพท์นั้น ยี่ห้ออื่นทำได้คล้ายๆ กัน แต่ iphone มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ไม่ซ้ำใคร ขอเพียงมีความคิดสร้างสรรค์คุณก็ได้เปรียบคนอื่นแล้ว ในภาคการศึกษาหากยังบีบคั้นเด็กด้วยการสอนแต่ในตำรา ใช้ความรู้เดิมๆ มีแต่จะทำให้เด็กขาดความคิดสร้างสรรค์
3. รู้จักที่จะหาความสุข สุนทรียภาพเป็นสิ่งสำคัญ การมีความสุขกับสิ่งสวยงามก็คือการรู้จักสุนทรียภาพ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดทำการวิจัยทำอย่างไรให้คนมีความสุข โดยแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มมั่งมีกับกลุ่มยากไร้ กลุ่มไหนมีความสุขกว่ากัน ผลสรุปคือความสุข ไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนมากๆ แต่มีเพื่อนที่ดีก็พอ ดังนั้นเราต้องชี้แนะให้เด็กรู้จักมีสัมพันธภาพกับผู้คน ไม่ใช่แค่สอนให้คิด แต่ต้องเข้าสังคมด้วย
“เพราะฉะนั้นเป้าหมายของการศึกษาในอนาคตจึงไม่ใช่การสร้างเด็กตามกรอบที่คิดเหมือนกันหมด แต่เป็นเด็กที่มีความแตกต่าง มีความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตน ดังคำของ ขงจื้อ นักปราชญ์โบราณที่กล่าวไว้ว่า ‘ฟ้าสร้างฉันมา ฉันต้องเป็นคนที่มีประโยชน์’ คุณต้องค้นให้พบลักษณะเฉพาะตนเพื่อนำสิ่งนั้นไปทำประโยชน์ต่อไป นี่คือสิ่งสำคัญ”
อาจารย์เหลียนยังกล่าวถึง “ทักษะที่สำคัญ 6 ประการ” ซึ่งจำเป็นสำหรับอนาคตของชาติในภายหน้า ดังนี้
1.ทักษะการสร้างสรรค์ออกแบบ ดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้นว่าความคิดสร้างสรรค์คือพลังสำคัญของมนุษย์ที่ไว้ต่อกรกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทั้งปวง
2.ทักษะการเล่าเรื่อง ถึงแม้เรามีของดีแต่ไม่สามารถถ่ายทอดบอกต่อได้ คนอื่นก็ไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งดีๆ เหล่านั้น
3.ทักษะการบริหารจัดการ ในอดีตความรู้ลึกในด้านใดด้านหนึ่งก็เพียงพอต่อการทำมาหากิน แต่ยุคสมัยนี้ถ้ารู้เพียงอย่างเดียวจะทำให้การพัฒนามีขีดจำกัด
4.ทักษะในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คนฉลาดไม่ใช่คนที่มีไอคิวสูง แต่คือคนที่รู้จักปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น คนที่เป็นหัวหน้าได้ดี เป็นใหญ่เป็นโตในบริษัท ความโดดเด่นของเขาคือรู้จักใจคน บริหารคนเป็น สิ่งที่ผูบริหารต้องมีคือการเข้าถึงจิตใจผู้อื่น
5.ทักษะการรู้จักหาความสุขใส่ตัว ถ้าชีวิตไม่มีความสนุกสนานเราจะมีชีวิตเพื่ออะไร ในอดีตเรากดดันเด็กด้วยการสอบ ยิ่งเรียนเพื่อสอบก็ยิ่งทำให้เด็กสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง สูญเสียความสนุกสนานในวัยเด็กไป
6.ทักษะการรู้จักหาความหมายของชีวิต ความหมายในชีวิตคืออะไร คนเรามีความหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งความหมายนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ปกครองหรือครูเป็นผู้กำหนด เด็กแต่ละคนต้องหาคำตอบของตัวเอง
“อย่างไรก็ดี เด็กที่จะมีความสุข พ่อแม่ต้องมีความสุขก่อน เด็กที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ พ่อแม่ก็ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ก่อน ถ้าจะเปลี่ยนแปลงเด็ก เราต้องเริ่มต้นเปลี่ยนที่พ่อแม่และครูอาจารย์ก่อน ทั้งนี้ ยังต้องถามตัวเองบ่อยๆด้วยว่า สิ่งที่ทำให้ลูกอยู่นั้นใช่ความสุขของลูกรึเปล่า เพราะหลายครั้งที่พ่อแม่เอาความสุขของตนไปให้ลูกทำแทน”
เราจะใช้ศาสตร์ลายผิวพัฒนาเด็กได้อย่างไร
ในส่วนที่สอง อาจารย์เหลียนลงลึกถึงความสัมพันธ์ของศาสตร์ลายผิวกับสมอง ลายบนนิ้วมือบ่งบอกถึงสมองของคนเราได้อย่างไร และเมื่อเราได้รู้แล้วจะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
“เรื่องต่อมาที่อยากแบ่งปันให้ครูอาจารย์และผู้ปกครองคือ ‘ผลกระทบต่อยีน’ ยีนมีผลกระทบต่อเรามากเพียงใด ถ้าเราพูดถึงยีนก็จะมีสองอย่าง 1.สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด 2.สิ่งที่เรียนรู้ในภายหลัง ยีนคือสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้หลายคนคิดว่าเมื่อยีนเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงไม่ได้ให้ความสนใจ และความคิดที่เชื่อกันว่าเด็กเปรียบเสมือนผ้าขาวที่จะระบายสีอะไรก็ได้ บ่มเพาะแบบไหนก็ได้นั้น เป็นจริงอย่างที่เราเชื่อรึเปล่า
“พฤติกรรมของคนร้อยละ 50 เกิดจากยีนเป็นตัวกำหนด ยิ่งคนเราอายุมากขึ้นยีนก็ยิ่งมีผลมากขึ้น เด็กทารกยีนส่งผลต่อพัฒนาการร้อยละ 20 เด็กโตขึ้นมายีนส่งผลต่อพัฒนาการร้อยละ 40 เมื่อเป็นผู้ใหญ่ยีนมีผลร้อยละ 60 หลังจากนั้นเข้าสู่วัยกลางคนยีนส่งผลร้อยละ 80 ทำไมคนเราแต่ละคนถึงถนัดและชอบแตกต่างกัน ทำไมคนเรานิสัยและพฤติกรรมแตกต่างกัน จริงๆ แล้วเกิดจากยีนที่ส่งผลถึงสมอง ถ้าเราเข้าใจยีนก็สามารถชี้นำเด็กไปในทางที่เหมาะสมได้
“เด็กอายุ 3-6 ขวบ เป็นช่วงที่มีพัฒนาการสูงสุด ไม่ว่าจะด้านการควบคุมสมาธิ การจัดการข้อมูล ไหวพริบ และการกำหนดเป้าหมาย ทว่าช่วง 3-6 ปี เป็นช่วงที่เด็กยังไม่เข้าโรงเรียนแบบเต็มตัว ดังนั้นทักษะต่างๆ ที่สำคัญไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ที่โรงเรียน แต่มาจากการบ่มเพาะของผู้ปกครองเองในช่วง 3-6 ปี ยีนร้อยละ 50 ส่งผลกระทบต่อสมอง และสมองส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของเรา คนเราแต่ละคนต่างกันตรงไหน ก็ตรงที่สรีรวิทยาของสมอง
“สรีรวิทยาของสมองเป็นอย่างไร? เราสามารถรู้ความลับของสมองได้ผ่านการ ‘วิเคราะห์ลายผิว ลายนิ้วมือ ลายนิ้วเท้า’ อันเป็นเอกลักษณ์ที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน คนที่นิ้วนางยาวกว่านิ้วชี้จะมีทักษะการลงทุนมาก ชอบความเสี่ยง ความท้าทาย ส่วนคนที่นิ้วชี้ยาวจะเป็นพวกชอบศิลปะ วรรณกรรม ทว่าลักษณะของแต่ละคนไม่ได้ดูกันเพียงแค่ความยาวของนิ้ว
ตามที่ได้กล่าวไว้ ลายนิ้วคือเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ลายนิ้วโป้งซ้ายและนิ้วโป้งขวาสามารถวัดทักษะการจัดการ นิ้วชี้กับนิ้วกลางของเด็กที่มีอาการออทิสติกจะมีรหัสที่แตกต่างจากเด็กปกติ เด็กที่มีความบกพร่องของพัฒนาการก็สามารถวิเคราะห์ผ่านทางลายผิว โดยทั่วไปการวินิจฉัยอาการออทิสติกของเด็กทำได้เมื่ออายุ 3 ขวบ แต่ถ้าวิเคราะห์จากลายเท้าสามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่ 1 ขวบ
“นอกจากนี้เรายังวิจัยการใช้ศาสตร์ลายผิวเพื่อวิเคราะห์อาการหูตึง ร่วมกับโรงพยาบาล 301 ที่กรุงปักกิ่ง เพราะอาการหูตึงนั้นมีความเกี่ยวพันกับระบบสมอง และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ วิจัยการใช้ลายผิววิเคราะห์อาการบกพร่องทางการเรียนด้วย”
เราจะสร้างนักเรียนรู้ในอนาคตได้อย่างไร
สิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างกัน ไม่ใช่เพียงเพราะคนนี้ชอบคณิตศาสตร์ คนนี้เก่งภาษาอังกฤษ แต่มาจากบุคลิกภาพของเรา เราเป็นคนแบบไหน มีสไตล์อย่างไร สิ่งเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากยีนและพัฒนาการของสมองที่เป็นตัวกำหนด ซึ่งแสดงออกมาเป็นลายผิวที่แตกต่างกัน และสะท้อนเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคน การเข้าใจความต่างของกันและกันช่วยทำให้เราอยู่ร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น
“ทักษะที่สำคัญที่สุดที่เด็กควรมี และเป็นยอดสูงสุดของพีระมิดคือ การคิดอย่างเป็นระบบ วางแผนชีวิตได้ ถัดลงมาคือทักษะการจัดการ ซึ่งแตกออกเป็นสองส่วนคือ การใช้เหตุผล และการใช้จินตนาการ บางคนถนัดคิดด้วยเหตุผล บางคนถนัดคิดด้วยจินตนาการ บางคนชอบเสี่ยง บางคนชอบทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน ความแตกต่างนี้มาจากสมองฝั่งซ้ายและขวาเป็นตัวกำหนด ทักษะที่ถัดลงมาจากการจัดการ ซึ่งเป็นส่วนล่างสุดของพีระมิด เป็นทักษะพื้นฐาน เช่น การฟัง การเห็น การรับรู้ทางร่างกาย ซึ่งมีระบบสนับสนุนคือการมีสมาธิ การเคารพตนเอง การจัดการอารมณ์และสิ่งแวดล้อม เด็กแต่ละคนจะมีพัฒนาการอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตามความถนัด
“ยกตัวอย่าง เด็กบางคนเจ้าอารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่ส่งผลต่อเด็กคนนั้นมาก หากเรารู้และเข้าใจบุคลิกภาพนี้ เราก็สามารถแก้ปัญหาและรับมือกับเด็กเจ้าอารมณ์ได้ เด็กคนหนึ่งเรียนไม่ดี ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็ไม่ดี ตรงนี้เกิดจากนิสัยไม่ดีรึเปล่า จริงๆ อาจเป็นปัญหาทางสรีรวิทยาของสมอง ทำไมเด็กบางคนมีปัญหาเวลาจดบันทึกหรือการเขียน อาจเป็นเพราะการทำงานระหว่างตาและสมองไม่สัมพันธ์กัน ทำให้การจดบันทึกได้ใจความไม่ครบถ้วน
“พ่อแม่บางคนให้เด็กเรียนทั้งเลข ดนตรี กีฬา เราเสียเวลาเรียนหลายๆ อย่างสะเปะสะปะ แต่สิ่งที่เรียนกลับลืมไปหมดแล้ว ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าไหมถ้าเราบ่มเพาะเด็กไปตามความถนัดของเขา โดยดูจากบุคลิกภาพของแต่ละคน เช่น บางคนใช้อารมณ์เป็นหลัก ถ้าไม่อยากทำก็จะไม่ทำ ถ้าเรารู้ว่าเด็กคนนั้นมีลักษณะเช่นนี้ เราก็ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เขา ถ้าเขามีใจจะเรียนก็จะเรียนได้ดีขึ้น เด็กบางคนต้องกำหนดเป้าหมายให้ เขาถึงจะทำได้ เด็กบางคนเพื่อนๆ หรือสิ่งแวดล้อมมีผลต่อเขามาก ในขณะที่เด็กบางคนต้องให้รางวัลถึงจะทำ ความแตกต่างนี้ถ้าเรารู้และสนับสนุนได้เหมาะสม ตรงจุด ก็จะทำให้การเรียนรู้ของเขาก้าวหน้า และมีประสิทธิภาพ สามารถแข่งขันในอนาคตได้อย่างไร้ข้อจำกัด
“อัจฉริยะคือคนที่รู้ความถนัดเฉพาะตัว แล้วทุ่มเทบ่มเพาะความถนัดนั้นจนโดดเด่น เราทุกคนเป็นอัจฉริยะได้ในแบบของเรา ไม่มีใครมีความสามารถเหมือนเรา เราเป็นหนึ่งเดียวบนโลก ดังนั้นเราทุกคนจึงเป็นอัจฉริยะ”
อาจารย์เหลียนยังได้ให้ผู้เข้าร่วมสัมนาทำแบบทดสอบ โดยแต่ละคนแสกนนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายและขวาก่อนเข้าร่วมงาน เพื่อดูลายนิ้วว่าเป็นลายอะไร โดยลายนิ้วหัวแม่มือสามารถบอกถึงทักษะการจัดการ แต่เป็นเพียงการวิเคราะห์แบบคร่าวๆ เท่านั้น จากนั้นอ.เหลียนได้อธิบายถึงลักษณะของลายแต่ละแบบ ดังนี้
ลายก้นหอย (Whorl) คนที่มีลายก้นหอยเป็นคนที่ชัดเจน มุ่งมั่นกับเป้าหมาย คนลักษณะนี้ต้องมีแรงบันดาลใจในการทำอะไรสักอย่าง แรงบันดาลใจจะเป็นส่วนช่วยในการสนับสนุนการเรียนและการงานของเขา อย่าไปบังคับให้ต้องทำอย่างนั้นหรืออย่างนี้ เพียงแค่สื่อสารกับเขา ถ้าเขาเข้าใจ อยากทำ เขาจะทำอย่างเต็มที่ แต่ถ้าไปบังคับเขาจะทำอย่างผ่านๆ ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจก็จะไม่อยากทำ
ลายดับเบิ้ลลูป (Double loop) เป็นคนค่อนข้างเปิดกว้าง ชอบเรียนรู้ มีความสนใจหลายๆ เรื่อง เห็นอะไรก็อยากเรียนรู้ มีความสามารถหลายอย่าง แต่เนื่องจากชอบหลายอย่างมากเกินไปจึงเปลี่ยนใจง่าย ชอบอะไรเป็นพักๆ ต่างจากลายก้นหอยที่ชอบอะไรแล้วลงมือทำเลย ไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ ดังนั้นถ้าอยากผลักดันคนกลุ่มนี้ต้องคอยพูดซ้ำๆ ถึงประโยชน์ของสิ่งนั้นเพื่อดึงความสนใจของเขาไว้ให้ได้ตลอด และถ้าคบคนที่มีลายดับเบิ้ลลูปเป็นแฟน ต้องรีบแต่งงานไม่เช่นนั้นเขาจะเปลี่ยนใจ เบื่อ แล้วไปหาคนใหม่
ลายมัดหวาย (Loop) กลุ่มนี้ค่อนข้างชอบเข้าสังคม ส่วนมากเป็นคนดี เป็นแม่ที่ดี เป็นลูกที่ดี เป็นบุคคลต้นแบบได้ จะเรียนอะไรก็ตั้งใจเรียน แต่ถ้าไม่ตั้งใจก็ไม่ตั้งใจเลย ชอบอะไรแล้วก็ชอบเลย ไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ เอาใจใส่ผู้คน กลุ่มนี้ค่อนข้างมีอารมณ์สุนทรี ชอบความสวยงาม เด็กที่มีลายมัดหวายต้องกำหนดเป้าหมายให้เขา จุดเด่นคือมีความอดทนสูง ทำสิ่งเดียวเป็นระยะเวลาสิบปีก็ยังได้ แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายก็จะละทิ้งอย่างรวดเร็ว ทำทุกอย่างไปเรื่อยๆ สบายๆ ไปวันๆ อย่างน่าเสียดาย แต่ถ้ามีเป้าหมายแล้วจะมุ่งมั่นบากบั่นเพื่อให้ถึงสิ่งนั้น
ลายกระโจม (Arch) สิ่งที่มีผลต่อคนกลุ่มนี้มากที่สุดคือร่างกาย จะทำอะไรสักอย่างร่างกายต้องพร้อม นอนจนพอ กินจนอิ่ม รักสุขภาพ เมื่อสุขภาพดีจะส่งผลต่อผลงาน จุดเด่นของคนกลุ่มนี้คือถ้ารักใครจะรักสุดๆ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องมายุ่ง ถ้าเป็นเพื่อนกับเขา เขาจะช่วยคุณอย่างเต็มที่ คนกลุ่มนี้ไม่เชื่อว่าโลกนี้มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ทุกสิ่งต้องใช้ความพยายามเข้าแลก มีนิสัยเปิดเผย ตรงไปตรงมา มีความมั่นคงทางจิตใจ แต่ไม่ชอบไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่ชอบทำสิ่งที่ตัวเองไม่มั่นใจ
ลาย Radial ลายนี้แม้มีเพียงหนึ่งนิ้วก็มีลักษณะนิสัยดังนี้ เป็นคนที่ชอบแย้งตลอด บอกให้ทำอย่าง ก็จะทำอีกอย่าง ชอบความแตกต่าง เป็นตัวของตัวเอง จุดเด่นคือมีความคิดสร้างสรรค์ไม่เหมือนใคร แต่มักจะรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจฉัน ต้องชื่นชมในความต่างของเขา อย่าคิดว่าความต่างของเขาเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งผิด แล้วเขาจะนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้อย่างโดดเด่น เช่น ถ้าเด็กที่มีลายผิว Radial ไปประกวดอะไรสักอย่างแล้วไม่ได้รับรางวัล ให้ผู้ปกครองทำรางวัลแก่เขาโดยเฉพาะ เพื่อเป็นกำลังใจในความคิดสร้างสรรค์ของเขา
คำถามจากผู้เข้าร่วมฟังการบรรยาย
Q: ปัจจุบันมีข่าวนักเรียนฆ่าตัวตายกันมากขึ้น ไม่ทราบว่าอาจารย์เหลียนมีคำแนะนำอย่างไร แล้วเรานำศาสตร์ลายผิวมาใช้แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง
อาจารย์เหลียน: การศึกษาในระบบแบบดั้งเดิมสร้างความกดดันให้เด็กเป็นอย่างมาก ค่อนข้างจำกัดความคิดทำให้เด็กเครียด และเด็กแต่ละคนมีความสามารถในการต้านทานความเครียดต่างกัน ต้องคอยสังเกตว่าลูกหลานเรารับความกดดันได้มากน้อยแค่ไหน เพราะการฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นการตัดสินใจฉับพลัน เป็นเรื่องที่สะสมมาเรื่อยๆ ผู้ปกครองและครูต้องคอยสังเกตว่าเด็กมีพฤติกรรมใดที่ต่างไปจากเดิม ต้องจับสภาพอารมณ์ของเขาให้ได้ก่อนที่ความเครียดจะขึ้นถึงจุดสูงสุดที่เขารับได้ ขั้นต้นต้องเข้าใจว่าเด็กแต่ละคนรับความเครียดได้มากน้อยต่างกัน การสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าผู้ปกครองเห็นบุตรหลานโกรธหรือเศร้ามากๆ จะทำอย่างไร วิธีการคือต้องมองในมุมของเด็ก เขาโกรธเรื่องอะไร เพราะอะไร อย่าไปบอกว่าอย่าโกรธ อย่าเศร้า พ่อแม่มักคิดว่าทำไมเรื่องแค่นี้ต้องโกรธ ต้องเศร้า นั่นคือการมองในมุมพ่อแม่ที่เป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่ต้องทำคือให้ลูกเป็นพวกเดียวกับเรา ลูกโกรธ แม่ก็โกรธ ลูกเศร้า แม่ก็เศร้า แล้วพูดคุยว่าสาเหตุที่ลูกเสียใจคืออะไร ลองคุยว่าจะแก้ปัญหากันอย่างไร ดีกว่าไปชี้ว่าลูกต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
การรับแรงกดดันในระดับที่ต่างกันของเด็กแต่ละคน สามารถวิเคราะห์ผ่านลายผิวได้ เช่น เด็กบางคนรองรับความเครียดได้มาก สามารถทนต่อแรงกดดันได้ เด็กบางคนอ่อนไหว รองรับความเครียดได้น้อย ยิ่งพ่อแม่กดดัน ยิ่งมีความคิดอยากหนีปัญหา ยกตัวอย่างคนที่มี ลายนิ้วแบบก้นหอย กลุ่มนี้รองรับความเครียดได้มาก ขอเพียงให้เวลาเขา จะสามารถคลี่คลายความเศร้าหมองด้วยตนเองได้ เช่นเดียวกับชีวิตคู่ หากคู่มีลายก้นหอย เวลามีปัญหากัน โกรธกัน เขาแค่ต้องการเวลาในการอยู่กับตัวเองเพื่อทำใจ จากนั้นเขาจะจัดการอารมณ์ตัวเองได้ ลายดับเบิ้ลลูป วิธีแก้เครียดคือช้อปปิ้ง กลุ่มนี้ชอบเข้าสังคม วิธีแก้ปัญหาของเขาคือไปเที่ยว อยู่กับเพื่อน เด็กที่มีลายผิวนี้ให้พาไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ อารมณ์ก็จะดีขึ้น ลายที่สามมัดหวาย คนกลุ่มนี้ต้องการคนปลอบใจ รับฟังเขา ดังนั้นแล้วศาสตร์ลายผิวช่วยให้เราแก้ปัญหาได้ตรงจุด เข้ากับคนแต่ละคน
Q: เราสามารถตรวจสอบโรตจิตเวช เช่น ซึมเศร้า ไบโพล่า จากการวิเคราะห์ลายผิวได้หรือไม่
อาจารย์เหลียน: ลายผิวช่วยในการบอกบุคลิก เช่น คนนี้เวลาเจอเรื่องไม่ดี เขาสลัดเรื่องเหล่านั้นจากสมองยาก เขาจะคิดวนเวียนซ้ำๆ ดังนั้นบุคลิกเช่นนี้จึงมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคซึมได้ง่าย หรือบางคนบุคลิกเป็นคนเจ้าอารมณ์ โมโหง่าย ถ้าเรารู้แนวโน้มก็จะสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
Q: ลายผิวสามารถบอกถึงจริยธรรมของแต่ละคนได้หรือไม่ และถ้าเราวิเคราะห์ลายผิวแล้ว รู้ว่าตนเองถนัดอะไร จะทำอย่างไรให้ไม่เป็นการตีตรา จำกัดตัวเอง มุ่งฝึกฝนแค่ความถนัดตามผลวิเคราะห์
อาจารย์เหลียน: จริยธรรมเป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป แต่ลายผิวสามารถวิเคราะห์ว่าในองค์กร พนักงานมีความภักดีต่อองค์กรมากน้อยแค่ไหน
ส่วนการตีตราหรือจำกัดตัวเองนั้น ต้องพึงคำนึงว่า สิ่งสำคัญคือกระบวนการชี้แนะอย่างเหมาะสม ชักนำเขาไปในทางที่ถนัดโดยไม่ต้องเสียเวลาเท่านั้น ไม่ใช่บังคับว่าต้องเรียนแต่สิ่งนี้ตามที่ผลบอก เช่น ผลวิเคราะห์ว่าเด็กคนนี้เก่งดนตรีมาก แน่นอนว่าถ้าเราสนับสนุนเขา สร้างสิ่งแวดล้อมที่รองรับการพัฒนาทักษะด้านนี้ได้ก็เป็นเรื่องดี ในขณะที่บางคนเรียนจนถึงมหาวิทยาลัยก็ยังไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไรกันแน่ นี่คือจุดประสงค์ของการวิเคราะห์ลายผิว เพื่อให้รู้ความถนัดในเวลาที่เหมาะสม เพราะฉะนั้นกระบวนการชี้แนะจึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าผลลัพธ์ที่ได้
สุดท้ายนี้อาจารย์เหลียนสรุปการบรรยายเรื่องลายผิววิทยาในครั้งนี้ว่า หากเรารู้เรื่องของสมอง วิเคราะห์สมองผ่านลายผิวได้ ครูผู้ปกครองก็สามารถให้การสนับสนุนเด็กได้อย่างเหมาะสมตามความถนัดของเขาจริงๆ ทุกคนมีความโดดเด่นของตัวเอง ทุกคนมีลักษณะเฉพาะ ก่อนออกจากบ้านขอให้เราทุกคนจงภูมิใจในความเป็นตัวเรา ภูมิใจในเอกลักษณ์ และบอกตัวเองว่า ‘ฉันคืออัจฉริยะ’