ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกๆ ท่าน หวังว่าญาติโยมคงจะสุขสบายดีกันทั่วหน้า

หลวงพี่ขา ไม่ใช่แค่สุขหรอกค่า! ตอนนี้ไหม้เลยค่ะหลวงพี่ ทำไมเมืองไทยมันร้อนอย่างนี้ ดิฉันละอยากถามดวงอาทิตย์ว่า เอาน้ำแข็งไสเย็นๆ สักแก้วไหม จะได้เย็นสบายขึ้นมาบ้าง

ไม่ใช่ร้อนแค่เมืองไทยหรอกโยม ตอนนี้มันร้อนทั่วโลก องค์การนาซ่าบอกว่าต่อไปโลกของเราจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ

หลวงพี่ขา ร้อนขนาดนี้ยังแทบแย่อยู่แล้ว ถ้าร้อนกว่านี้ เห็นทีดิฉันต้องลาโลกไปก่อนนะคะ

โยม สิ่งที่จะทำให้โลกของเราเย็นลงมาบ้าง คือช่วยกันลดภาวะโลกร้อนด้วยการปลูกต้นไม้ รักษาต้นไม้ที่ปลูกไว้ให้เจริญเติบโต ลดการใช้พลาสติกและสิ่งต่างๆ ที่ทำให้โลกร้อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือดับความร้อนที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา

เอาละโยม พูดถึงอากาศร้อนก็คงจะยาวมาก มาพูดถึงความสวยความงามดูบ้าง อาจจะทำให้สบายขึ้น

คนจะงาม งามน้ำใจ ใช่ใบหน้า คนจะสวย สวยจรรยา ใช่ตาหวาน
คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน คนจะรวย รวยศีลทาน ใช่บ้านโต

 

โยมทั้งหลาย คนเราเกิดมาย่อมแตกต่างกันไปบ้าง บางคนมองมุมไหนก็สวย มองมุมไหนก็หล่อ คนอะไรหล่อไปหมด สวยไปหมด อาตมาอยากถามว่า โยมสวยเอง หล่อเอง หรือว่าเพื่อนยุให้หล่อให้สวย คนอะไรก็ไม่รู้หล่อสวยแบบไม่มีที่จุติ โอ๊ะ ไม่มีที่จะติ

ส่วนใครที่เกิดมาไม่สวย หากว่าโยมอยากจะสวย อยากจะหล่อ ฟังทางนี้ อาตมามีวิธีมาบอก

ไม่ต้องไปวุฒิศักดิ์ก็สวยเป๊ะ ไม่ต้องยันฮี ฟังทางนี้ก็สวยได้ เป็นคาถาสำหรับคนอยากหล่อ อยากสวย

ถ้าโยมทุกคนท่องคาถานี้ อาตมาเอาหัวเป็นประกันเลยว่าโยมจะสวยวันสวยคืน สวยทั้งภายนอก ภายใน สวยจับจิตจับใจสวยตั้งแต่หัวจรดเท้ากันเลยทีเดียว เอาละ ไม่อยากโฆษณาสรรพคุณให้มากกว่านี้

คาถานี้มีอานิสงส์มาก อาตมาย่อมาจากคำสอนของพระโมคคัลลานะ (พระอัครสาวกผู้เป็นเลิศทางด้านฤทธิ์) เพียงโยมตั้งใจอธิษฐานทุกๆ วัน เช้า-ค่ำ คำพูดสั้นๆ แล้วตั้งใจทำตาม เราก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ประมาท รักษาจิตใจของตนเองให้งดงามอยู่เสมอ

และความมีใจงามนี่เอง ที่จะช่วยปรุงแต่งความงามบนใบหน้าของโยมให้งดงามยิ่งขึ้นไป คือมีใบหน้าฝาดเป็นสีชมพู
ดูเปล่งปลั่ง สดใส เป็นความงามที่บริสุทธิ์แบบธรรมชาติๆ งามอย่างยั่งยืน

คาถาที่ว่าคือ

เราเฝ้าถนอมรักษาใบหน้าให้เกลี้ยงเกลาฉันใด
เราย่อมรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส
ปราศจากอกุศลธรรมทั้งหลาย แม้ฉันนั้น”

เพราะว่าอกุศลธรรมทั้งหลาย คือความคิดที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ความโกรธ ความแค้น ความเศร้า มัวเมา ความหลง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราหมดราศี

โยมทั้งหลาย เรื่องความสวย ความหล่อ เรื่องสุข ทุกข์ อกหัก ผิดหวัง มันเป็นธรรมดาของโลก

ถ้าเราไม่เข้าใจกฎแห่งความเป็นจริงก็หาความสุขไม่เจอ เหมือนเรื่องที่อาตมาจะเล่าต่อจากนี้

เรื่องมีอยู่ว่า หญิงสาวแสนสวยคนหนึ่งไปหาหมอที่โรงพยาบาล คุณหมอทักว่า คุณสวยขนาดนี้ทำไมต้องทำร้ายตัวเองสาหัสถึงเพียงนี้ สาวแสนสวยตอบว่าผัวทิ้งค่ะ

คุณหมอ: แค่ผัวทิ้ง ก็หาผัวใหม่สิ เรายังสาวยังสวยอยู่เลย จะไปทำร้ายตัวเองทำไม

สาวแสนสวย: มันทิ้งหนูลงมาจากชั้นสี่ค่ะ คุณหมอ

เห็นไหมโยม ความสวยความหล่ออย่างเดียวมัดใจคนไม่ได้หรอก มันต้องมีความดีด้วย

ในโลกนี้มีวิชาความรู้มากมาย แต่อาตมาอยากจะบอกวิชาดูคน ว่าแต่ละคนที่เป็นแบบนี้เพราะอะไร

คนเราย่อมมีนิสัยที่แตกต่างกัน ในพุทธศาสนาได้กล่าวว่าคนเรามีจริตต่างกัน “จริต” หมายถึงนิสัยอันเป็นพื้นเพของบุคคลแต่ละคน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “จริยา” หมายถึงลักษณะอันเป็นพื้นฐานของจิต จริตนั้นแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 6 ประเภท หรือ 6 จริต คือ

1. ราคจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางราคะ รักสวยรักงาม ละมุนละไม ชอบสิ่งที่สวยๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อยๆ สัมผัสที่นุ่มละมุน และจิตใจจะยึดเกาะกับสิ่งเหล่านั้นได้เป็นเวลานานๆ

พุทธองค์ได้สอนวิธีแก้ราคจริตไว้ว่า ผู้ที่มีราคจริต ต้องเจริญอสุภกรรมฐาน คือ พิจารณาในเรื่องไม่สวยไม่งาม พิจารณาให้เห็นความสกปรกโสโครก ความเน่าเปื่อยของร่างกาย ร่างกายนี้เป็นที่ต้องของสิ่งปฏิกูล ความเน่าเหม็น

2. โทสจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางโทสะ ใจร้อน วู่วาม หงุดหงิดง่าย อารมณ์รุนแรง โผงผาง เจ้าอารมณ์ ผู้ที่มีโทสจริตต้องเจริญเมตตา ใช้ความเมตตากรุณาให้มากจึงจะแก้ได้

3. โมหจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางโมหะ เขลา เซื่องซึม เชื่อคนง่าย งมงาย ขาดเหตุผล มองอะไรไม่ทะลุปรุโปร่ง ผู้ที่มีโมหจริต จะต้องเป็นผู้ที่ใคร่ครวญในเหตุในผลจึงจะแก้ได้

4. วิตกจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางฟุ้งซ่าน คิดเรื่องนี้ทีเรื่องนั้นที เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่สามารถจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ “วิตก” แปลว่าการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ หรือการเพ่งจิตสู่ความคิดในเรื่องต่างๆ ไม่ได้หมายถึงความกังวลใจ วิตกจริตจึงหมายถึงผู้ที่เดี๋ยวยกจิตสู่เรื่องโน้น เดี๋ยวยกจิตสู่เรื่องนี้ ไม่ตั้งมั่น ไม่มั่นคงนั่นเอง
ผู้ที่มีวิตกจริตต้องพยายามระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และระลึกซึ่งสิ่งที่เป็นคุณ เพื่อให้จิตใจน้อมต่อธรรมะไว้

5. ศรัทธาจริต หรือสัทธาจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางศรัทธา น้อมใจเชื่อ เลื่อมใสได้ง่าย ถ้าเลื่อมใสในสิ่งที่ถูกก็ย่อมเป็นคุณ แต่ถ้าเลื่อมใสในสิ่งที่ผิดก็ย่อมเป็นโทษ ต่างจากโมหจริตตรงที่โมหจริตเชื่อแบบเซื่องซึม ส่วนศรัทธาจริตนั้นเชื่อด้วยความเลื่อมใส เบิกบานใจ
ผู้ที่มีศรัทธาจริตก็เหมือนกัน ต้องอาศัยความเป็นผู้ที่ยั้งคิด เห็นแล้วได้ยินแล้วไม่ด่วนเชื่อ ต้องเป็นคนคิดหน้าคิดหลัง ศึกษาเสียก่อน เมื่อมีความศรัทธาความเชื่อ ต้องมีปัญญาคอยกำกับ จะไม่ได้ไม่ถูกความหลงเข้าครอบงำ

6. พุทธิจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางชอบคิด พิจารณาด้วยเหตุผลอย่างลึกซึ้ง ชอบใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง ไม่เชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผล ผู้ที่มีพุทธิจริตถือเป็นคนที่มีต้นทุนดีอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นผู้มีปัญญา เพียงแต่ให้ละทิฐิมานะของตน ย่อมเข้าถึงความเจริญได้

ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักดัดจริตบ้างนะโยม “ดัดจริต” ในที่นี้ไม่ได้หมายความอย่างที่คนส่วนมากเข้าใจ เช่น ทำตัวเวอร์ แต่หมายถึงการรู้จักดัดนิสัยของตนเองให้ดีขึ้น เพื่อความสุขในชีวิต

เจริญพร

 


เรื่อง: พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต
ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่