ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในช่วงไม่กี่นาทีสุดท้ายของชีวิต คุณกำลังจะตาย หายใจแผ่วลงๆ เมื่อหมดลม ชีวิตคุณก็ดับสิ้น ลองจินตนาการต่อไปว่าคุณยังสามารถเห็นโลกหลังคุณตาย คุณเห็นตัวคุณจบบทบาทชีวิตในโลกนี้เพียงเท่านี้ แต่โลกยังคงหมุนต่อไป ไม่กี่ปีต่อมา คนส่วนใหญ่ลืมคุณไปแล้ว ยี่สิบปีผ่านไป อาจไม่มีใครสักคนบนโลกที่เคยรับรู้การดำรงอยู่ของคุณมาก่อน หนึ่งร้อยปีต่อมา คุณหายไปจากโลกตลอดกาล ราวกับคุณไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกนี้ มันทำให้คิดและถามว่า อะไรคือความหมายของชีวิต ทำงานมาทั้งชีวิตเพื่ออะไรจริงๆ ชีวิตมีแค่นี้เองหรือ
ผมผ่านอายุเลข 60 อย่างเงียบๆ พร้อมกับเพื่อนๆ หลายคนที่เกษียณไปตามระบบ ทันใดนั้นเราก็พบว่าตนเองยืนอยู่ระหว่างชีวิตที่เหลือกับความตายที่อาจอยู่ไม่ห่างไกล หลายคนในสถานะนี้เกิดอาการหลงทาง ยืนอยู่ระหว่างความหงอยเหงากับความหมายของชีวิต
คนจำนวนมากเป็นอย่างนี้ ก้มหน้าก้มตาหายใจ ทำงาน ทีละวัน ผ่านไป 35-40 ปี เรือชีวิตก็ปลดระวางเพราะสภาพเก่าพร้อมจมได้ทุกเมื่อ รู้สึกตัวอีกที ก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว บางคนเพิ่งเริ่มเงยหน้ามองโลกจริงๆ เป็นครั้งแรกในวันเกษียณ ถ้าไม่รู้จักเตรียมใจแต่แรก รู้สึกหลงทาง งงว่าจะไปทางไหนดี อาจจะรู้สึกตกใจก็ได้
ทางพุทธสอนให้ตามทันชีวิต รู้ทันความเปลี่ยนแปลง และยอมรับความเปลี่ยนแปลง จึงไม่เกิดทุกข์
ถ้าตามโลกไม่ทัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ตรวจสอบตัวเอง เมื่อเดินทางถึงหลักไมล์ท้ายๆ ของชีวิต อาจปรับตัวไม่ทัน
เราไม่รู้ว่าเมื่อใดเราจะยุติบทบาทบนโลกนี้ มันอาจเป็นชั่วโมงหน้า อาจเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ดังนั้นหากจะคิดเรื่องนี้ ก็ทำตอนนี้
ไม่ว่าจะเป็นคนเกษียณหรือคนหนุ่มสาว ก็ควรตอบคำถามว่า เราใช้ชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาคุ้มค่าไหม
บางทีการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าไม่มีกติกาตายตัว ขึ้นกับความพอใจ
พอใจก็คุ้มค่า
แต่ถ้ามิเพียงตนเองพอใจ ยังสามารถทำให้คนอื่นพอใจด้วย ก็ยิ่งคุ้มค่าขึ้นไปอีก
“คุ้มค่า” หมายถึงใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ มีความหมายและหรือมีความสุข
คนจีนมีประเพณีงานศพอย่างหนึ่งคือ หากผู้ตายอายุถึง 100 ปี ผู้ไปร่วมงานศพสามารถสวมชุดสีสันสดใส เช่น สีแดง เป็นความเชื่อว่า ผู้ที่มีอายุยาวเกิน 100 ปีเป็นคนมีบุญหมดทุกข์หมดโศกแล้ว เมื่อเสียชีวิต ลูกหลานจึงไม่ต้องแต่งชุดขาวดำไว้ทุกข์ เพราะมันไม่ใช่งานแห่งความทุกข์ มันคืองานมงคล
การใช้ชีวิตยาวขนาดนี้บนโลกถือว่าเป็นความคุ้มค่าแล้ว
นี่คือมุมมองของปริมาณเวลาที่อยู่บนโลก ไม่ใช่คุณภาพ
อยู่ยาวคือมีบุญ
เราก็อาจมีชีวิตที่เปี่ยมสีสัน ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างพึงใจ แม้ชีวิตจะไม่ยาว
เอมิลี บรอนที ผู้เขียนวรรณกรรมคลาสสิก Wuthering Heights ตายอายุเพียง 30
ซิลเวีย แพลธ นักเขียนและกวีมากความสามารถ ตายเมื่อสามสิบ ทิ้งผลงานเช่น The Bell Jar, The Colossus and Ariel ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 1982
บ็อบ มาร์ลีย์ นักดนตรีมากสามารถ ผู้นำโลกดนตรีสายเรกเก ตายเมื่ออายุ 36
จิมมี เฮนดริกซ์ สุดยอดนักกีตาร์ของโลก เรียนรู้ด้วยตัวเองส่งอิทธิพลต่อดนตรีร็อค ตายอายุ 27
ไฮน์ริค เฮิร์ทส์ ผู้ค้นพบคลื่นวิทยุ และ photoelectric Effect เป็นผู้เปิดประตูของโลกควอนตัม ตายเมื่ออายุ 36
ศรีนิวาสะ รามานุจันทร์ นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะชาวอินเดียผู้ยากจน แต่สั่นสะเทือนวงการคณิตศาสตร์โลก ตายเมื่ออายุ 32
เบร์นฮาร์ด รีมันน์ นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะผู้ค้นพบหลักคณิตศาสตร์สำคัญหลายอย่าง บางเรื่องไอน์สไตน์นำไปใช้คำนวณทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของเขา ตายอายุ 39
เบลส ปาสคาล เป็นผู้รู้รอบด้าน สร้างผลงานประดิษฐ์คิดค้นทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ตายอายุ 39
จอห์น คีทส์ กวีอังกฤษ ลุ่มลึกเชิงปรัชญา ตายอายุ 25
โมสาร์ท อัจฉริยะนักประพันธ์เพลง ตาย 35
คนเหล่านี้ใช้ชีวิตสั้นดั่งดาวตก แต่สว่างโพลงดั่งดวงอาทิตย์
คุ้มค่าหรือไม่? หลายคนอาจเห็นด้วยกับคำของนักแต่งเพลง นีล ยัง ว่า “เผาสิ้นฉับพลันดีกว่าค่อยๆ เลือนจากไป”
โก้วเล้งเขียนว่า ใช้ชีวิตแบบจุดเทียนสองปลาย อายุสั้นไม่ใช่ปัญหา ความสว่างของชีวิตต่างหากที่สำคัญกว่า
เราอาจไม่ต้องการมีชีวิตเกินหนึ่งร้อยปี แต่หากใช้ชีวิตดีพอ เมื่อเราจากโลกไป ก็สมควรเป็นเรื่องเฉลิมฉลอง
winbookclub.comเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/winlyovarin/
เรื่องและภาพ: วินทร์ เลียววาริณ