ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกๆ ท่าน พระมหาสมปองมาอีกแล้ว มาพร้อมกับ “ธรรมะอมยิ้ม”
โยมทั้งหลาย ไม่ว่าคนเราจะสวยหรือขี้เหร่ ถ้ายิ้มเก่งก็มีเสน่ห์ทั้งนั้น หลายคนสงสัยว่าบางคนหน้าตาขี้เหร่ ทำไมถึงมีแฟนหล่อ แฟนสวย ที่เป็นแบบนั้นเพราะบางคนไม่ได้มองแค่รูปร่างหน้าตา แต่เขามองทะลุเข้าไปถึงจิตใจ เพราะความสวยความหล่อแค่สะดุดตา แต่ความดีนั้นสะดุดใจ
คนที่มีจิตใจดีงาม ความคิดก็ดี คำพูดการกระทำก็ดี ทำให้คนอยู่ใกล้ชิดมีความสุข เพราะเหตุนี้เองคนสวย คนหล่อที่มีสติปัญญา จึงมองเห็นความงามภายในมากกว่าภายนอก
เพราะความหลงนี่เองทำให้คนติดอยู่แค่รูปภายนอก และยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นต้องเป็นของเรา บางครั้งหนักมากถึงขั้นฆ่ากัน
อาตมาอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ คนเราทุกข์มากขึ้น บางคนก็เป็นทุกข์จริงๆ ที่เกิดขึ้นจากตน บางคนก็ไปเอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง และที่หนักไปกว่านั้นคือฆ่ากันง่ายขึ้น
เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา เห็นชีวิตคนอื่นไม่มีคุณค่า นึกจะฆ่าก็ฆ่า
โยมบางคนมองหน้ากันก็ไม่ได้ ขับรถปาดหน้ากันก็ฆ่ากันแล้ว บางคนเป็นทุกข์เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์เพราะอกหักผิดหวัง และจบชีวิตตนเองลงเพราะพิษรัก
เมื่อมาถึงตอนนี้อาตมาจะเล่าเรื่องให้โยมฟัง มีหนุ่มคนหนึ่งเข้ามอบตัวกับตำรวจ
หลังจากเขาก่อเหตุยิงภรรยาจนได้รับบาดเจ็บสาหัสบนเตียงนอน
ระหว่างสอบปากคำ ตำรวจถามว่า ทำไมคุณถึงยิงภรรยาคุณครับ
ชายหนุ่มก็ตอบว่า คือยังงี้ครับ คุณตำรวจ ผมกลับจากทำงาน เจอภรรยาอยู่บนเตียง ผมนึกเรื่องขำขันขึ้นได้ ก็เลยเล่าให้ภรรยาฟัง แต่ภรรยาผมไม่ขำครับ
ตำรวจถามว่า เอ๊ะ! แค่ภรรยาไม่ขำ คุณถึงกับต้องยิงเขาเลยเหรอ
ชายหนุ่มก็ตอบว่า ภรรยาผมไม่ขำก็ไม่เป็นไรครับ คุณตำรวจ แต่ผู้ชายที่อยู่ใต้เตียงมันดันขำนั่นสิครับ
เห็นไหมโยม เราตั้งใจจะเล่าให้คนขำอยู่แล้ว เขาขำก็ยังไปยิงเขาอีก ฆ่ากันง่ายๆ จริงเลย
เมื่อโยมฟังเรื่องนี้แล้ว อาตมาก็แนะให้มองดูชีวิตของสัตว์รอบข้างบ้าง
บางคนมักถามว่า ทำไมที่วัดมีหมาขี้เรื้อนเยอะจัง มันก็เป็นผลงานของโยมที่เอามาปล่อย พระเลยต้องพลอยรับเลี้ยงดู
หมาขี้เรื้อนที่วัด มันป่วยมากแค่ไหนก็ไม่เคยฆ่าตัวตาย
หมาอีแดงที่วัด ตัวผู้ที่เป็นแฟนมันไปกุ๊กกิ๊กกับหมาตัวอื่น มันก็ไม่คิดฆ่าตัวตาย ไม่เห็นมีข่าวว่าหมาอีแดงน้อยใจแฟนไปมีกิ๊กใหม่กระโดดกุฏิตายคากองเลือด และอีกอย่างอาตมาไม่เคยเห็นหมากินยาแก้เครียด (รึว่ามันแอบกินเหมือนกัน) ไม่เคยเห็นหมากินยานอนหลับ
โยมทั้งหลาย เราได้เกิดมาเป็นคนถือว่าประเสริฐแล้ว มีโอกาสที่จะสร้างบารมี สร้างความดีให้แก่ตัวเอง และแบ่งปันความสุขให้แก่คนอื่นด้วย
ชีวิตของคนเรานะโยม จะมีคุณค่าได้ ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย ไม่จำเป็นต้องมีเกียรติ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งสูงๆ มีการงานที่ดี
แต่ชีวิตที่มีคุณค่าคือ การทำตัวของเราให้มีคุณค่า และทำชีวิตของคนอื่นให้เป็นคนมีคุณค่า
ชีวิตของคนเรานะโยม ไม่มีใครสุขล้วน ทุกข์ล้วน มันมีสุขมีทุกข์เหมือนกันทั้งนั้น
แต่อยู่ที่ว่า ใครจะรับมือกับความสุขและความทุกข์ได้ดีกว่ากัน
เปรียบเทียบง่ายๆ ชีวิตเราก็เหมือนตะเกียงหรือไฟ ปัญหาความทุกข์เหมือนพายุลมและสายฝน
เราทำอย่างไรจะไม่ให้ไฟดับ บางคนวิ่งหนีฝน วิ่งหนีพายุ ถามว่าวิ่งหนีได้ไหม ได้โยม แต่กว่าที่เราจะหนีพ้น บางคนก็เหนื่อยแทบขาดใจ บางคนไม่หนี ปล่อยให้ลมพัด ฝนตกใส่ สุดท้ายไฟก็อาจจะดับได้
แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้หนี แต่เลือกใช้สติในการจัดการกับปัญหานี้
ฝนตกก็กางร่ม ลมแรงก็หลบใต้อาคาร
ความทุกข์ก็เช่นกัน เราต้องรู้จักสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ตัวเอง เมื่อมีความทุกข์ เราจะได้มีภูมิต้านทานที่ดี
“ถ้าเราผ่านแผลผ่าตัดมาได้ แผลถลอกก็แค่เรื่องเล็ก” เมื่อเรามีภูมิคุ้มกันที่ดี ไม่ว่าเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนเราก็รับได้ และพร้อมที่จะก้าวผ่านมัน
พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เราประมาท คือเวลาที่อยู่ดีมีสุขอย่าประมาท จงตักตวงความสุขให้เต็มที่และต้องมีสติให้มาก เพราะมิเช่นนั้นเราจะเพลิดเพลินอยู่กับความสุขนั้น
และต้องรู้จักเตรียมใจว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่แน่นอน เมื่อถึงช่วงชีวิตตกต่ำ เราก็ยังอยู่ได้อย่างปกติสุข เรารู้จักเตรียมใจไว้รับมือกับความทุกข์
ดังนั้นเราอย่าเสียเวลากับการยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกฎของธรรมชาติ
ดวงอาทิตย์ขึ้น แล้วก็ตก กลางวันกินเวลาไม่กี่ชั่วโมง แล้วก็เป็นกลางคืน
หากเรามีทุกข์ ให้เรารู้เท่าทัน อีกไม่นานทุกข์จะเบาบางลง สุดท้ายมันก็ดับไป
โยมทั้งหลาย
“การเผชิญกับความทุกข์อันแสนสาหัส
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีสติ และความสงบนิ่งของจิตใจ”
ถ้าเราเคยผ่านทุกข์ที่เจ็บปวดมาแล้ว ความทุกข์ครั้งต่อมา ต่อให้เจ็บอย่างไรมันก็บางเบา
เพราะประสบการณ์จะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นเอง
เจริญพร
เรื่อง: พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต / ภาพ: ขวัญญาณี ศิรธนอนันต์