◊แผนซ้อนแผน◊
…………
เสียงประกาศผ่านลำโพงที่ดังลั่นมาจากตำรวจน้ำ ทำให้คนขับเรือและนักท่องเที่ยวที่เพิ่งจะช่วยเหลือสี่ชีวิตขึ้นมาจากการลอยคอตื่นตระหนกอย่างห้ามไม่อยู่ สายตาทุกคู่เบิกกว้าง ขณะที่จ้องมองไปยังเรือของเจ้าหน้าที่สลับกับร่างของคนไทยซึ่งอยู่ในอาการเขม็งเกลียวขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ยังไงกันเนี่ย… พวกคุณเป็นใครกันแน่”
คนขับเรือร้องถาม
“ทำไมตำรวจน้ำถึงพุ่งเข้ามาหาเราแบบนี้”
“ไม่มีอะไรครับ น่าจะเข้าใจผิดกันน่ะ”
คมจักรฝืนหัวเราะเสียงแปร่ง
“หรือไม่เขาก็อยากจะมาถามว่า ตกลงเมืองไทยจะเอากติกาไหนในการตั้งรัฐบาลระหว่างมี สส. มากสุดกับมีคะแนนป๊อบปูล่าร์โหวตมากสุด”
“คุณพูดอะไร ที่ไหนเขาก็มีกติกาเดียวกันทั้งนั้น อย่ามามั่วดีกว่า”
“ไม่ได้มั่ว… ผมพูดจริง ไม่ได้โม้”
คมจักรทำท่าขึงขัง
“คุณอยากได้อะไรแปลกๆ ไปบ้านผมได้เลย ไม่เคยได้ยินเหรอที่เขาบอกว่าประเทศกูมี”
แม้คมจักรจะทำให้เป็นเรื่องเล่น แต่อีกฝ่ายไม่ตลกด้วย พาหนะท่องเที่ยวทางน้ำที่มีสี่คนไทยเป็นผู้โดยสารสดๆ ร้อนๆ จึงหยุดเครื่องลอยลำตามคำสั่งที่ได้ยินจากเรือตำรวจน้ำแต่โดยดี
“งานเข้าแล้วเรา”
คมจักรเปรยขึ้นก่อนจะได้ยินธงอินทร์ตอบกลับ
“ใจดีสู้เสือไว้ก่อน… อาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงก็ได้”
“ไม่ร้ายกะผีน่ะสิ นายไม่เห็นหรือไงว่าตำรวจเล็งปืนมาทางเรา”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของคมจักรก่อนที่ยานยนต์ในแม่น้ำของเจ้าหน้าที่จะเข้าเทียบทางกราบขวาของเรือท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนกระโดดขึ้นมาพร้อมด้วยอาวุธบนมือ ขณะที่อีกสองคนยืนจังก้าอยู่บริเวณหัวเรือพร้อมกับเล็งปืนเข้าหาด้วยท่าทีเอาจริง
“ทุกคนยกมือขึ้น!”
เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบสีน้ำเงินสวมหมวกแก๊ปติดโลโก้ของสำนักงานตำรวจอินนีเซียร้องสั่งเสียงกร้าว
“เราได้รับคำสั่งให้จับกุมคนร้ายข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของอินนีเซีย… อย่าต่อสู้ขัดขืนเป็นอันขาด!”
“ปู้โธ่… คุณวอเต้อร์โปลิส…”
คมจักรร้องออกมาเสียงแหลม ขณะที่ทำตามคำสั่ง
“โดนปืนจ่อใส่หน้าแบบนี้ถ้าต่อสู้ขัดขืนล่ะก็คงเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ”
“พวกคุณต้องไปกับเราเดี๋ยวนี้ เพื่อเข้าฝั่งให้เจ้าหน้าที่ของกองทัพทำการสอบสวน”
“แต่เราเป็นคนไทย ถ้าจะทำอย่างนั้น ทางกองทัพของคุณจะต้องแจ้งให้สถานทูตไทยทราบเสียก่อน”
“ไม่จำเป็น”
หัวหน้าเรือตำรวจน้ำหมายเลข 142 หันไปมองหน้าธงอินทร์ซึ่งเป็นผู้ทักท้วงขึ้นมา
“ที่นี่เป็นประเทศของเรา ซึ่งกองทัพเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดสามารถทำอะไรก็ได้เพื่อความสงบเรียบร้อย”
“เหมือน ม.44 ของบ้านผมเลย”
คมจักรสอดเข้ามา
“แต่ต่างชาติเค้าจะทักท้วงได้นะว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เอะอะอะไรก็ขึ้นศาลทหารหรือไม่ก็ย้ายประจำสำนักนายกฯ ลูกเดียว”
“หุบปาก! แล้วไปขึ้นเรือของเรา”
“พูดดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องหงุดหงิดอารมณ์เสียเลย… นายไม่ได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวซักกะหน่อย”
“บอกให้เงียบ ยังจะพูดมากอีก”
“จ้า… เงียบก็ได้จ้า”
คมจักรหดคอแต่มือยังชูขึ้นยอมจำนน
“ว่าแต่เฮียชื่ออะไร ชื่อโจ๊กร้อนๆ หรือเปล่า ระวังจะโดนเด้งฟ้าผ่าเหมือนโจ๊กครอบจักรวาลบ้านผมนะ”
“ถ้าลื้อไม่หุบปาก อั๊วจะเอาที่ครอบปากหมามาใส่ปากลื้อ”
“ครับผม ไม่พูดแล้ว”
คมจักรยิ้มยียวนก่อนจะหันไปทางญาธิดา
“ตำรวจน้ำเขารออยู่ เชิญผู้หมวดก่อนครับ แบบที่ภาษาฝรั่งเขาว่าเลดี้เฟิร์ส”
โดยไม่ต้องให้ฝ่ายเดียวกันย้ำคำพูด นายตำรวจหญิงขยับตัวออกจากตำแหน่งตรงเข้าหากราบเรือ จากนั้นจึงก้าวเท้าข้ามไปยังดาดฟ้าของเรือตำรวจน้ำ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่อีกสองคนถือปืนยืนรออยู่
“กรุณายื่นมือมาด้วยคุณผู้หญิง”
หนึ่งในนั้นพูดเสียงเข้ม ขณะที่เสียบปืนลงในซองข้างลำตัวแล้วปลดเครื่องพันธนาการออกมา
“เราจำเป็นต้องใส่กุญแจมือคุณไว้ก่อนตามกฎของการจับกุมคนร้าย”
“ตามสบายค่ะ คุณตำรวจ”
พยัคฆ์สาวไทยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะที่ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีท่าทีว่าจะขัดขืนแต่อย่างใด
“ฉันเองก็เป็นตำรวจ เข้าใจดีถึงการทำหน้าที่ตามกฎหมาย”
“ขอบคุณมากในความร่วมมือ”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายพูดมา ในพริบตาอันต่อเนื่อง ความเป็นไปอันไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่าโดยปราศจากพยับฝนก็อุบัติขึ้น
เพราะไม่ถึงครึ่งเสี้ยววินาที ก่อนพลตำรวจร่างล่ำสันจะสับกุญแจลงบนข้อมือของผู้ต้องหา
สองมือของญาธิดาก็ตวัดขวับขึ้นตะปบก้านคอของฝ่ายตรงข้าม ในจังหวะที่เท้าซ้ายสปริงขึ้นเพื่อเหยียบลงบนหัวเข่า ขณะที่ตีนขวาถีบพื้นเพื่อกระโจนตัวลอย โดยมีกายกำยำของปรปักษ์เป็นฐานส่ง ยังผลให้คนที่โดนตะปบคอร้องอุทานอย่างตกใจ เมื่อต้องเสียหลักเพราะพยัคฆ์สาวชาวไทยกระชากคอจนตนเองหัวคะมำ ในจังหวะที่ผู้ต้องหาหญิงหมุนตัวตวัดขาขวาเหวี่ยงอวัยวะทั้งท่อนเข้าใส่ศัตรูคนที่สองซึ่งยืนห่างออกไปไม่ถึงเมตรโดยมีลำคอด้านหน้าเป็นเป้า
พั่บ!
ทีเดียวเท่านั้น คนที่โดนเข้าไปก็มีอันสะดุ้งพรวดเมื่อกระเดือกโดนกระแทกพร้อมๆ กับที่ใต้คางถูกหนีบด้วยขาพับของพยัคฆ์สาวชาวไทยซึ่งบิดตัวพริ้วร่างในจังหวะอันต่อเนื่องชนิดมองแทบไม่ทัน
เสียงเหมือนไม้ล้มจึงบังเกิดขึ้นเมื่อร่างของสองตำรวจประจำเรือหล่นโครมลงไปจูบพื้นพร้อมๆ กัน ด้วยวิทยายุทธชั้นยอดของญาธิดาจะแตกต่างกันก็เพียงคนที่โดนขาเกี่ยวกระเดือกหงายท้องลงไปหัวฟาด ขณะที่คนโดนตะปบคอเหยียบเข่าหน้าคว่ำลงไปจูบพื้นด้วยแรงกระชากส่งท้าย และร่างของฝ่ายโจมตีลอยอยู่เหนือศัตรู
แต่ทั้งหมดนั่นก็ยังไม่เหลือเชื่อเท่ากับการที่อาวุธทั้งกระบอกถูกกระชากไปเป็นกรรมสิทธิ์ในพริบตาเดียวกับที่ญาธิดาหมุนตัวกลางอากาศแล้วฉกหมับเข้าที่ซองข้างเอว ในจังหวะสุดท้ายก่อนร่างของหล่อนจะหล่นลงมาจังก้าเหยียบพื้นในบัดดล
“พระเจ้าช่วย!”
เสียงร้องสบถจากตำรวจน้ำอีกสองคนซึ่งอยู่บนเรือนักท่องเที่ยวราวกับจะเป็นสัญญาณให้คมจักรกับธงอินทร์ลงมือ และคู่พยัคฆ์ชาวไทยก็ไม่ปล่อยให้โอกาสในการพลิกสถานการณ์ต้องหลุดลอยไป
เพราะในพริบตาอันแสนสั้นยิ่งกว่าแมลงตัวจิ๋วสะบัดปีก คมจักรก็ปัดปลายลำกล้องที่ปรปักษ์เล็งเข้าหาให้เบี่ยงเฉแล้วเสยหมัดขวาเข้าสู่ปลายคางของมันสุดแรงเกิด ขณะที่ธงอินทร์ฉกมือเข้าใส่ไรเฟิลอัตโนมัติเพื่อกระชากอาวุธทั้งกระบอกออกมาจากคนที่กำลังยืนตะลึง ก่อนจะตวัดพานท้ายเหวี่ยงตูมเข้าที่กกหูของไอ้นั่นเต็มเหนี่ยว
ผัวะ!
ผัวะ!
เสียงเหมือนทุบมะพร้าวบังเกิดขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กับร่างของสองตำรวจน้ำร่วงผล็อยลงไปกองกับพื้นสติดับชนิดไม่รู้เลยว่าใครสลบก่อนกัน
ถึงตอนนั้นทีมพยัคฆ์ชาวไทยก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ต้องทำต่อไปคืออะไร ญาธิดาจึงปราดเข้าหาตำรวจน้ำคนสุดท้ายซึ่งทำหน้าที่ผู้ควบคุมเรือโดยไม่ชักช้า
“อย่ายิงครับ… อย่ายิง!”
ไอ้นั่นร้องเสียงหลงนัยน์ตาเหลือกขณะที่ยกมือยอมจำนน
“ผมเป็นแค่คนขับเรือ… ผมยอมแล้ว!”
“ลงไปจากเรือ… เร็วเข้า!”
“ได้ครับ… ได้”
อีกฝ่ายระล่ำระลักร้องบอก
“แต่ผมว่ายน้ำไม่เป็น… ขอหยิบชูชีพก่อนครับ”
จังหวะเดียวกับที่คนถือท้ายผละออกจากพังงาเรือเพื่อที่จะคว้าชูชีพมาสวมก่อนสละเรือตามคำสั่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนซึ่งสวมชุดช่างสีน้ำเงินก็โผล่ขึ้นมาจากห้องเครื่องยนต์ใต้ดาดฟ้ากลางลำพร้อมด้วยประแจเหล็กบนมือ
โดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแม้แต่วินาทีเดียว ร่างสูงใหญ่ของมันกระโจนลิ่วเข้าใส่ญาธิดาซึ่งยืนหันหลังให้พร้อมกับเงื้ออาวุธแสวงเครื่องขึ้นสุดแขน
“ผู้หมวด… ระวังหลัง!”
ธณิศรซึ่งอยู่บนเรือท่องเที่ยวร้องตะโกนสุดเสียง เมื่อเห็นอันตรายพุ่งเข้าหาฝ่ายเดียวกัน และสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ญาธิดาหันขวับพร้อมเห็นประแจช่างขนาดเขื่องแหวกอากาศเข้ามาราวกับกระบอกเหล็กของนักรบโบราณ
สัญชาตญาณทำให้พยัคฆ์สาวเบี่ยงหลบพร้อมกับตวัดปืนเข้าใส่หมาย จะเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนยับยั้งการจู่โจมของฝ่ายตรงข้าม แต่ไอ้นั่นกลับว่องไวเกินคาดคิด เพราะในพริบตานั้นตีนหน้าของมันดีดผึงขึ้นสูงโดยมีปากกระบอกปืนของหล่อยเป็นเป้า
ผัวะ!
ทีเดียวเท่านั้น ปืนทั้งกระบอกก็กระเด็นหลุดพร้อมกับเสียงลั่นเปรี้ยงในวินาทีที่กระสุนพุ่งขึ้นสู่อากาศโดยไม่ถูกใคร มิหนำซ้ำคนเตะที่โผล่มาเหมือนผียังกระโจนตามติดแล้วหวดซ้ายป่ายขวาหมายจะฟาดคอต่อของศัตรูเพศตรงข้ามให้ดับดิ้น
แต่ญาธิดาไม่ใช่มือใหม่ไก่อ่อนที่จะโดนเชือดง่ายๆ ร่างปราดเปรียวของหล่อนจึงโยกหลบไปมา ยังผลให้อาวุธของปรปักษ์จั่วลม ก่อนที่นายตำรวจสาวจะโต้กลับด้วยการกระโจนสวนเข้าใส่แล้วคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ ในจังหวะที่ช่างเครื่องเงื้อแขนหวดลงมาเต็มเหนี่ยว
ฮึบ!
วินาทีเดียวกับที่สกัดการโจมตีให้หยุดอยู่ด้วยมือซ้ายไว้ได้ มือขวาของญาธิดาก็ฉกเข้าตวัดก้านคอพร้อมๆ กับเข่าข้างเดียวกันกระทุ้งพรวดเข้าใส่ร่างที่หัวทิ่มด้วยแรงกระชากตามแบบแม่ไม้มวยไทยชั้นยอด
ตูมเดียวที่ลิ้นปี่อันเป็นจุดตายกลางลำตัวโดนทะลวงด้วยเข่าเต็มเหนี่ยว คนที่โดนเข้าไปก็มีอันกระดอนลอยขึ้นร้องด้วยความเจ็บจุกก่อนจะหล่นลงไปฟาดพื้นแบบหมดสภาพ ประแจเหล็กที่เคยอยู่บนมือเปลี่ยนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของคนที่มีฝีมือเหนือกว่า และใช้มันเป็นอาวุธเผด็จศึกคนถือพังงาเรือด้วยการขว้างเข้าใส่ ในพริบตาที่หันไปเห็นว่าไอ้นั่นคว้าขวานดับเพลิงประจำเรือหมายจะกระโจนเข้าช่วยเพื่อนของมัน
แต่อากัปกิริยานั้นก็ยังช้าไปกว่าประแจเหล็กที่หมุนลิ่วแหวกอากาศมาราวกับกังหันก่อนจะผ่ากลางเข้าที่เป้าหมายอย่างเหมาะเหม็ง
ผัวะ!
เสียงสยองขนบังเกิดขึ้นเมื่อของแข็งกระแทกอวัยวะสำคัญด้วยแรงปะทะแบบประสานงา ยังผลให้คนที่โดนเข้าไปกระเด็นผางหงายผลึ่งราวกับต้นไม้ถูกสับด้วยขวาน พยัคฆ์สาวชาวไทยไม่ปล่อยให้ไอ้นั่นมีโอกาสได้ลุกขึ้นมาอีก เพราะหล่อนกระโจนตามแล้วเสยบาทาเข้าใส่กระโดงคางของมันสุดแรงเกิด
ผล็อง!
ตูมเดียวที่ปลายคางถูกระเบิดตำรวจน้ำซึ่งทำหน้าที่ถือพังงาเรือก็มีอันสติดับสลบเหมือดแน่นิ่งไปในบัดดล
“เคลียร์! ข้ามมาได้เลย!”
นายตำรวจสาวตะโกนบอก และนั่นทำให้ธงอินทร์กับธณิศรกระโดดข้ามออกมาจากกราบเรือนักท่องเที่ยว คงเหลือเพียงคมจักรซึ่งยังคงโอ้เอ้ตามประสา
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยพวกเรา… ไว้พบกันใหม่เมื่อลุงตู่ตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วนะครับ”
จบประโยคนั้นแล้วคมจักรจึงกระโจนตามธงอินทร์กับธณิศร เกือบจะพร้อมๆ กับที่เสียงเครื่องยนต์เรือตำรวจดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อญาธิดาที่อยู่หน้าคอนโซลกดปุ่มสตาร์ท
“ไปเลย… ผู้หมวด!”
“ที่หมายล่ะคะ”
“ผมยังคิดไม่ออก ลองเช็คดูในกูเกิ้ลแม็ปว่าเราควรจะไปไหนดี”
ธงอินทร์ร้องตอบก่อนจะได้ยินคมจักรตะโกนถาม
“แล้วไอ้สามสี่ตัวที่นอนอยู่นี่ล่ะ… เอายังไงดี”
“นายกับธณิศรช่วยกันหาชูชีพให้ใส่แล้วโยนลงน้ำไป เดี๋ยวเรือที่ผ่านมาก็ช่วยเก็บไปเองแหล่ะ”
“โอเค จัดให้ครับผม!”
โดยไม่รอดูการปฏิบัติของเพื่อนร่วมทีม ธงอินทร์ก้าวเข้าไปสมทบกับนายตำรวจสาวซึ่งประจำอยู่ที่พังงาเรือ
“หน้าจอมีกูเกิ้ลแม็ป สามารถตั้งเข็มได้ว่าต้องการจะให้เรือแล่นไปที่ไหน”
ญาธิดารายงาน
“ปัญหาก็คือเรายังไม่รู้ว่าที่ไหนคือจุดหมาย”
“ตอนที่ ฮ. ไปรับเราจากเรือดำน้ำ พวกเขาระบุว่าได้เชื่อมข่ายการสื่อสารกับหน่วยเหนือไว้ให้เราแล้ว”
ธงอินทร์พูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“ผมจะติดต่อกับศูนย์ควบคุมสถานการณ์ในสถานทูตเพื่อขอคำแนะนำ ป่านนี้ที่นั่นคงรู้แล้วละว่าเกิดอะไรขึ้น”
สิ่งที่นายทหารชาวไทยพูดไม่ผิดไปจากความจริง เพราะในทันทีที่มีคำตอบกลับมาจากหัวหน้าซีไอเอ. ที่แฝงตัวอยู่ในสถานทูต ธงอินทร์ก็แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ภารกิจลุล่วง พวกคุณทำหน้าที่เป้าลวงได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
“หมายความว่าไง”
ธงอินทร์ขมวดคิ้วขณะที่ย้อนถามทันที
“เป้าลวงอะไรกัน… ผมกับทีมได้รับคำสั่งให้มารับตัวมุสตาฟาร์ซึ่งกุมความลับการก่อการร้ายในภูมิภาคอาเซียนและจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยไม่ใช่หรือครับ”
“นั่นเป็นข่าวที่เราปล่อยออกไปล่อเหยื่อ และฝ่ายตรงข้ามก็ฮุบข้อมูลนั้นแบบเชื่อสนิท ถึงได้ไล่ล่าพวกคุณอย่างเอาเป็นเอาตาย”
บุรุษผู้ควบคุมปฏิบัติการตอบกลับมา
“จังหวะนี้เองที่เราส่งตัวมุสตาฟาร์ออกจากสถานทูตอย่างเงียบๆ โดยที่หน่วยงานความมั่นคงอินนีเซียไม่ได้ระแคะระคาย เพราะมุ่งความสนใจไปกับการตามติดเป้าลวงชนิดกัดไม่ปล่อย”
“ให้ตายเถอะ…”
ธงอินทร์อุทาน
“ทีมของเราถูกหลอกใช้งั้นหรือนี่”
“อย่าพูดแบบนั้น งานด้านยุทธการต้องมีการแบ่งแยกกันทำภารกิจหลากหลาย ความมุ่งหมายจึงจะลุล่วง”
คู่สนทนาของธงอินทร์เว้นระยะไปนิดนึง
“แต่ไม่ต้องห่วงเมื่องานสำเร็จแล้ว เราไม่เคยทอดทิ้งใคร จากตำแหน่งที่คุณอยู่ในตอนนี้ห่างจากปากอ่าวเป็นระยะทาง 5 ไมล์ ขอให้คุณนำเรือมุ่งสู่ทะเลแล้วแล่นออกไปยังพิกัดที่กำหนด”
“เรือดำน้ำลำเดิมจะโผล่ขึ้นมารับพวกผมอย่างนั้นใช่มั้ย”
ธงอินทร์เดา
“ถูกต้อง”
คำตอบนั้นชัดเจน
“พวกเขาจะพาคุณกลับพร้อมด้วยพัสดุมีชีวิตคือมุสตาฟาร์ซึ่งจะไปที่จุดนัดพบด้วย ฮ. ท่องเที่ยวเหมือนตอนที่พวกคุณเดินทางเข้ามาในเมือง”
“เอายังงั้นก็ได้”
ธงอินทร์ฝืนหัวเราะ
“ผมจะพาทีมออกไปตามแม่น้ำ ขอตำแหน่งพิกัดที่เป็นจุดนัดพบด้วย”
“ได้เลย ผมจะส่งให้เดี๋ยวนี้ แต่ปัญหาก็คือคุณต้องพยายามไปให้ถึงที่นั่นให้ได้ก็แล้วกัน”
“เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว ยังไงผมก็จะตั้งเข็มนำเรือไปด้วยออโต้ไพล็อต ซึ่งก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรเลย”
“มันคงไม่ง่ายอย่างที่คุณพูดแล้วละ”
น้ำเสียงนั้นเปลี่ยนไปจนคนที่ได้ยินรู้สึกได้
“เพราะจากภาพที่อยู่บนจอของเรา มีอากาศยานความเร็วสูงลักษณะเป็นภัยคุกคามกำลังพุ่งเข้าหาคุณ!”
ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำให้ธงอินทร์ไหวตัวหันไปคว้ากล้องสองตาขึ้นมามองกวาดไปบนท้องฟ้าเพื่อค้นหาเป้าโดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแม้แต่น้อย
แล้วเพียงอึดใจเดียว ยอดพยัคฆ์ชาวไทยก็ร้องตะโกนออกมาดังลั่น
“ทุกคนเข้าที่กำบัง! มี ฮ. บินเข้าหาเรา!”
“ฮ. ของลุงตู่งั้นเหรอ…”
คมจักรยังไม่วายชักใบให้เรือเสีย
“ใกล้จะเป็นนายกฯ รอบสอง ลุงแกใจดีจัง อุตส่าห์ส่ง ฮ. บินมาไกลถึงประเทศนี้เพื่อรับพวกเรา”
“นี่ไม่ใช่เวลาพูดเลอะเทอะ ศูนย์ควบคุมเตือนมาแล้วว่า ฮ. ลำนี้เป็นอันตรายต่อเรา”
“เชื่อได้แน่เหรอ… ชัวร์ก่อนแชร์นะ”
คมจักรไม่ยอมหยุด
“เพราะถ้าข้อมูลเป็นเท็จนายอาจจะโดนฟ้องเหมือนที่ กกต. ฟ้องคนที่แชร์ให้ร้ายว่านับคะแนนไม่โปร่งใส”
“หลบเร็ว! มันยิงมาแล้ว!”
ธงอินทร์ตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นประกายไฟแลบวาบออกมาจากพาหนะเวหาที่อยู่ห่างออกไปเกือบสองกิโลเมตร
ด้วยวิถีกระสุนที่เร็วกว่าการเดินทางของเสียง ลูกไฟแดงโร่ที่แหวกอากาศมาเป็นสายจึงพุ่งลงสู่ผิวน้ำไล่มาเป็นทางก่อนจะตามมาด้วยเสียงแผดระรัวราวกับฟ้าพิโรธ
เปรี้ยงๆๆๆๆ !
เปรี้ยงๆๆๆๆ !
มันเป็นการยิงดักหน้าเหมือนต้องการเตือนไม่ให้เรือแล่นไปตามเส้นทางที่ต้องการ แต่เมื่อเห็นว่าพาหนะที่อยู่บนแม่น้ำสายหลักไม่มีทีท่าว่าจะยอมจำนน อีกทั้งยังเปลี่ยนเป็นการแล่นซิกแซ็กไปมาเพื่อไม่ให้การเล็งเป้ากระทำได้ถนัด ห่ากระสุนชุดที่สองจึงแหวกอากาศตามมาชนิดไม่ต้องร้องขอ
เปรี้ยงๆๆๆๆ !
เปรี้ยงๆๆๆๆ !
มฤตยูสว่างวาบพุ่งตามกันมาราวกับผีพุ่งไต้ก่อนจะปะทะเข้ากับดาดฟ้าหลายสิบนัด จนเรือซึ่งกำลังฉวัดเฉวียนไปมามีอาการสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง
“ไอ้เวรตะไล!”
คมจักรแยกเขี้ยวอย่างเดือดดาล
“อย่านึกเลยว่ากูจะยอมให้ยิงเข้าใส่ข้างเดียว”
ขาดคำ ไรเฟิลอัตโนมัติซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของตำรวจน้ำก็ถูกประทับเข้าร่องไหล่ปากกระบอกเล็งสูงเข้าหาเป้าก่อนที่คมจักรจะเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกไปในจังหวะนั้น
ปังๆๆๆๆๆ !
ปังๆๆๆๆๆ !
กระสุนของคมจักรพุ่งสวนกับวิถีการยิงจาก ฮ. จนภาพที่ปรากฏบนท้องฟ้าไม่ต่างอะไรกับลูกไฟต่างสายที่ทะยานเข้าหากัน และบางจังหวะไฟบินบางลูกก็ปะทะกันจนแตกกระจายเป็นสะเก็ดสีส้มไม่ต่างอะไรกับพลุระเบิดกลางเวหา
“ยิงมาอีกซิโว้ย! กูไม่กลัวมึงหรอก!”
คมจักรตะโกนลั่นแล้วเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนขึ้นฟ้าเสียงแผดระรัวกึกก้องราวกับประทัดแตก
ปังๆๆๆๆๆ !
ปังๆๆๆๆๆ !
แม้จะยังเห็นไม่ชัดว่ากระสุนชุดนั้นถูกเป้าหรือไม่ แต่การระดมยิงหูดับตับไหม้ของคมจักรกลับได้ผลอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
เพราะสิ่งที่ทุกคนบนเรือมองเห็นคืออาการบินผละออกไปจากทิศทางเดิมอย่างฉับพลันของ ฮ. บนท้องฟ้าทั้งที่ในวินาทีก่อนหน้ากระสุนจาก ฮ. ยังพุ่งลงมาไม่ขาดสาย
“ไม่น่าเชื่อเลยครับ… พี่ทำได้ยังไง”
ธณิศรร้องออกมาอย่างพิศวง
“ฮ. ของไอ้พวกนั้นบินหนีไปแล้ว กระสุนของพี่แม่นจริงๆ”
“เค้าเรียกกระสุนสั่งญาติไงล่ะ”
คมจักรยืดอกในท่าเบ่งขณะที่ลดปืนลง
“ฉันยิงออกไปพร้อมกับเสกวาจาสิทธิ์ตะเพิดให้พวกมันบินไปทางอื่นอย่ามาขวางทางของเรา”
“อย่าโม้ไปหน่อยเลย”
ธงอินทร์แย้ง
“มันไม่ใช่อย่างที่นายพูดหรอก แต่ต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ภารกิจของ ฮ. ลำนั้นเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน”
“นายกำลังจะบอกว่าการที่พวกมันยุติการไล่ล่าเราไม่ใช่เพราะกระสุนของฉันอย่างนั้นใช่มั้ย”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
น้ำเสียงของธงอินทร์จริงจังขณะที่สายตาจ้องมอง ฮ. ที่บินห่างออกไปทุกที
“พวกมันได้เปรียบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ในตำแหน่งสูงข่มมีอำนาจการยิงรุนแรงสามารถเรียกกำลังสนับสนุนได้อย่างต่อเนื่อง แต่กลับยุติการโจมตีอย่างฉันพลัน”
“เพราะอะไร”
“ใช่… เพราะอะไรล่ะ”
ธงอินทร์ย้อนถาม
“นายไม่คิดบ้างหรือว่ามันผิดปกติอย่างมาก”
“จริงแฮะ”
คราวนี้คมจักรพูดอย่างเป็นงานเป็นการ
“หรือว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือพันเอกนูฮาชิมคนที่บงการให้ลูกน้องเล่นงานฉันตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงประเทศนี้”
หากมีญาณพิเศษ คมจักรก็คงจะรู้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนเองพูดไม่มีผิด
เพราะที่สนามบินทหารอากาศทางตอนเหนือของเมืองหลวง พันเอกนูฮาชิมซึ่งทำหน้าที่บัญชาการอยู่ในศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่รับฟังรายงานจากเจ้าหน้าที่ยุทธการ
“เรือของพวกมันออกพ้นปากร่องอ่าวไปแล้ว และกำลังใช้ความเร็วสูงสุดออกสู่ทะเลเปิด”
“อีกนานแค่ไหนจะถึงจุดนัดพบ”
“ประมาณ 20 นาทีครับ”
พันเอกนูฮาชิมพยักหน้ารับทราบก่อนจะย้อนถาม
“แน่ใจนะว่าเรายังตามจีพีเอสของเรือตำรวจน้ำได้ตลอดเวลา”
“ชัวร์ครับ”
น้ำเสียงที่ตอบหนักแน่น
“สัญญาณยังชัดเจนและเรายังมีทุ่นลอยในทะเลที่เป็นตัวเชื่อมต่อสัญญาณทุกระยะ 10 ไมล์ ยังไงก็ไม่หลุดเป้าแน่”
“ถ้างั้นก็คงไม่พลาด”
พันเอกนูฮาชิมเหยียดยิ้มออกมาอย่างสะใจ
“เรือของพวกมันจะนำทางเราไปหาเป้าหมายที่แท้จริง และเมื่อถึงเวลานั้นคนที่ชนะในเกมนี้คือเราไม่ใช่พวกมัน!”
——————————————
เรือดำน้ำยูเอสเอส. จอร์จเจีย ใต้ทะเลในเขตอินนีเซีย
“ประจำสถานีลอยลำ!”
“ทราบ… ประจำสถานีลอยลำ”
มีเสียงตอบรับคำสั่งของผู้บังคับการเรือ
“ปล่อยน้ำอับเฉา”
“ปล่อยน้ำอับเฉาแล้ว!”
“เรือกำลังลอยขึ้น… อีก 50 ฟุตถึงผิวน้ำ”
ต้นหนรายงาน
ผิวทะเลด้านบนแหวกเป็นทาง เมื่อปลาเหล็กใต้สมุทรสัญชาติอเมริกันลอยลำขึ้นมาอย่างช้าๆ หลังจากนั้นเพียงอึดใจเดียว เรือทั้งลำก็ปรากฏขึ้นโดยไม่มีการแจ้งให้เจ้าของน่านน้ำ ทราบอันเป็นเรื่องปกติสำหรับชาติยักษ์ใหญ่ที่เป็นมหาอำนาจผู้คุมระเบียบโลกและเขียนกฎต่างๆ ตามความพอใจของตน
“เห็นเป้าผิวน้ำแล้วครับ”
ต้นเรือซึ่งใช้กล้องสองตาส่องกวาดไปรอบหอบังคับการรายงานไปยังผู้บังคับการเรือที่อยู่ด้านล่าง
“เรือตำรวจน้ำกำลังแล่นเข้ามาในแบริ่ง 135 ระยะห่าง 800 หลา”
“พัสดุทางอากาศล่ะ”
“ยังไม่เห็นในระยะสายตาครับ”
“เรดาร์จับเป้าได้มั้ย”
นาวาเอกร่างใหญ่ซึ่งเป็นผู้บังคับการเรือดำน้ำหันไปถามนายทหารยุทธการ
“เจอแล้วครับ ความเร็ว 40 น็อต กำลังบินเข้ามาในแบริ่ง 220”
“ฮ. ท่องเที่ยวก็บินช้าแบบนี้แหละ บอกต้นเรือเตรียมรับคนไทยกับพัสดุทางอากาศขึ้นเรือ พวกเขาคงมาถึงเราเกือบจะพร้อมๆ กัน”
“ครับผม”
สถานการณ์น่าจะเป็นไปตามที่ฝ่ายแทรกซึมวางแผนเอาไว้ หากไม่มีเหตุแทรกซ้อนอุบัติขึ้น เพราะในจังหวะที่ ฮ. ท่องเที่ยวซึ่งมีมุสตาฟาร์ผู้กุมความลับของขบวนการก่อการร้ายที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลอินนีเซียเป็นผู้โดยสารจะบินเข้ามาใกล้ตำแหน่งของเรือดำน้ำ พนักงานเรดาร์ของยูเอสเอส. จอร์จเจีย ก็ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ
“ผู้การครับ… มีเป้าบินเข้ามาในแบริ่ง 165 ความเร็ว 2 มัค!”
“อะไรนะ”
“ตรวจสอบสัญญาณแล้วเป็นเครื่องบินขับไล่แน่นอนครับ!”
“บลูเชี้ยด… !”
นาวาเอกร่างใหญ่สบถออกมาอย่างลืมตัวก่อนจะสั่งการอย่างเฉียบขาด
“ประจำสถานีต่อสู้อากาศยาน ล็อคเป้าเครื่องขับไล่ ถ้ามีสัญญาณโจมตีเป้าผิวน้ำละก็ เราจะยิงมันทันที!”
แต่สิ่งที่ผู้บังคับการของนาวีสหรัฐพูดก็มิได้เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่นักบินบนเครื่องขับไล่เตรียมเล่นงานไม่ใช่ทั้งเรือของทีมพยัคฆ์ชาวไทยและเรือดำน้ำ หากเป็น “ฮ.ท่องเที่ยว” ที่มีมุสตาฟาร์เป็นผู้โดยสาร
“ศูนย์ยุทธการ จากอิเกิ้ล วัน… ล็อคออนเป้าได้แล้ว… พร้อมใช้อาวุธ!”
นักบินอินนีเซียรายงานขณะที่สายตาจับจ้องไปยังกากบาทสีแดงที่ทาบลงบนเป้าที่ปรากฏอยู่ในจอหน้าที่นั่ง
“ยิงได้!”
สิ้นคำสั่งที่ได้ยินจากแผ่นดินแม่ เสืออากาศอินนีเซียก็กดปุ่มปล่อยจรวด “แอร์ ทู แอร์ มิไซด์” ออกจากปีกก่อนจะบังคับเครื่องตะแคงตัวตีวงกลับสู่ฝั่งอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ลูกไฟสีแดงก็สว่างวาบขึ้นกลางท้องฟ้าห่างออกไปสามไมล์ทางด้านหลังของเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดของอินนีเซีย
*************************************
***********************************
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป