◊ ดรีมทีม (2) ◊
………..
เสียงแผดสนั่นจากปืนสงครามของแก๊งยาเสพติดข้ามชาติบังเกิดขึ้นพร้อมกับวิถีกระสุนแดงวาบปลิวเข้าใส่บ้านทั้งหลังราวกับห่าฝน พร้อม ๆ กับที่มฤตยูหลายขนาดกระหน่ำเข้ามาเป็นพายุบุแคมจนกระจกหน้าต่างทะลุปรุพรุน ข้าวของที่อยู่ภายในบ้านรวมทั้งจอมอนิเตอร์ของแวววาวแตกกระจัดกระจายปลิวว่อน
แต่ในทันทีที่ผู้บุกรุกเว้นจังหวะการยิง แวววาวก็ผงกหัวขึ้นเพื่อตวัดปืนสู้ชนิดไม่ยอมจำนนง่ายๆ และกระสุนที่สายลับของไทยยิงสาดออกไปจับเปาะเข้าสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ ยังผลให้ปรปักษ์อีกสองคนที่วิ่งออกมาจากที่กำบังล้มกลิ้ง
“ภูคำ! ด้านหลังเป็นไงบ้าง!”
แวววาวร้องถามเสียงลั่นขณะที่สาละวนบรรจุแม็กกาซีนอันใหม่ ก่อนจะได้ยินสายข่าวตอบคำถามนั้นด้วยเสียงปืนที่แผดลั่นในวินาทีที่กระสุนพุ่งออกไป
ปัง! ปัง! ปัง!
แม้ภูคำจะเหนี่ยวไกโดยมั่นใจว่าจะไม่พลาด แต่สิ่งที่สายข่าวมองเห็นก็คือสะเก็ดไฟสีส้มซึ่งแตกกระจายออกมาเมื่อลูกตะกั่วร้อนจี๋กระทบแผ่นเหล็กกันกระสุนที่ฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นปราการกำบังขณะเคลื่อนที่เข้ามาทางด้านหลัง มิหนำซ้ำ ศัตรูที่เกาะหลังตามกันมาเป็นแถวตอนยังเสือกประกอบปืนโผล่พ้นด้านข้างโล่ป้องกันแล้วพ่นกระสุนออกมาดังสนั่นหวั่นไหว
เจ้าหน้าที่กังฉินซึ่งเป็นพวกเดียวกับแก๊งค้ายาเสพติดยิงแล้วก็รุกคืบไปข้างหน้าโดยไม่หวั่นเกรงต่อวิถีแดงโร่ที่พุ่งสวนออกมาจากฝ่ายตั้งรับ
“ผู้หมวดครับ ข้างหลังบ้านกำลังจะต้านไม่ไหว!”
ประโยคที่ได้ยินจากฝ่ายเดียวกันทำให้แวววาวตัดสินใจควักระเบิดมือออกมาแล้วใช้ปากคาบห่วงนิรภัยก่อนจะกระตุกมือเพื่อให้อุปกรณ์ล็อคสลักหลุดออก
จากนั้นอาวุธสังหารหมู่ที่มีขนาดเล็กจิ๋วเท่าผลส้มก็ถูกขว้างผ่านหน้าต่างออกไปข้างหน้าสุดแรงเกิด
ตูม!
มีเสียงระเบิดดังสนั่นในวินาทีที่สะเก็ดพิฆาตสาดกระจายรอบทิศจากตำแหน่งที่ลูกไฟสว่างวาบ ยังผลให้ฝ่ายตรงข้ามแดดิ้นโดยไม่มีโอกาสเห็น แวววาวเผ่นพรวดไปยังช่องยิงด้านหลังหมายจะช่วยสายข่าวภูคำรับมือศัตรู
แต่แล้วเสียงแผดระรัวเหมือนประทัดตับก็บังเกิดขึ้นสนั่นหวั่นไหว
ปังๆๆๆ! ปังๆๆๆ!
วินาทีที่แก้วหูสะท้านสะเทือน ภาพที่นายตำรวจสาวมองเห็นก็คืออาการหมุนคว้างของบุรุษชาติเดียวกันที่โดนห่ากระสุนชุดนั้นอย่างถนัดถนี่
“ภูคำ!”
หล่อนร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับถลันเข้าประคองร่างของสายข่าวด้วยสัญชาตญาณ
“อย่าตายนะ… แข็งใจไว้! เราจะหนีไปด้วยกัน!”
“ผม… ผมไม่รอด… แล้ว…”
ภูคำเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น
“รีบ… รีบไป… ผมนัดเรือ… ไว้แล้ว!”
“แข็งใจไว้ เราจะไปจากที่นี่ด้วยกัน”
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา นั่นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าสายข่าวชาวไทยสิ้นใจแล้ว
“บ้าจริง!”
พยัคฆ์สาวอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะตวัดมือขึ้นเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกไปสกัดกั้นศัตรูที่กำลังบุกเข้ามา
ปัง! ปัง! ปัง!
สะเก็ดไฟที่แตกกระจายออกมาจากโล่กำบังมองเห็นได้อย่างถนัดไม่ต่างอะไรสิ่งยืนยันว่าการยิงของหล่อนไร้ผล และนั่นจึงทำให้แวววาวตัดสินใจใช้ระเบิดมืออีกครั้ง
ฝ่ายตรงข้ามที่บุกเข้ามาจึงไม่รู้เลยว่ากำลังจะพบจุดจบแบบตายหมู่ เพราะในจังหวะเดียวกับที่รุกคืบเข้ามาใกล้ อาวุธทรงกลมก็ลอยละลิ่วแหวกอากาศเข้ามาหล่นตรงหน้าของพวกมันอย่างเหมาะเหม็ง
ตูม!
เสียงเอ็ม-26 ดังสนั่นพร้อมๆ กับที่เปลวไฟสีส้มสว่างวาบสะเก็ดสังหารปลิวว่อนออกมารอบทิศ ยังผลให้ทุกคนที่อยู่ในรัศมีล้มระเนระนาด
วินาทีนั้นเองที่นายตำรวจสาวชาวไทยสับฝีเท้าออกจากตำแหน่งทะยานลิ่วฝ่ากลุ่มควันระเบิดที่ม้วนตลบกระโจนข้ามร่างของศัตรูเพื่อที่จะอันตรธานไปจากบริเวณล้อมฆ่า พร้อมกับข้อมูลสำคัญอันเป็นเป้าหมายของภารกิจที่ได้รับมอบหมาย !
——————————————
เส้นทางหลักที่เชื่อมต่อสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
มันเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขณะที่รถแวนป้ายเหลืองพาหนะรับส่งผู้โดยสารระหว่างเบตง-นราธิวาส แล่นไปด้วยความเร็วพอประมาณผ่านภูมิประเทศสองข้างทางซึ่งเต็มไปด้วยชายป่ารถทึบ นานๆ จะมีรถแล่นสวนมาสักคัน
แม้จะได้ยินข่าวความรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง คนขับซึ่งเป็นชาวไทยวัยใกล้เกษียณไม่ได้รู้สึกเคร่งเครียดแต่อย่างใด เพราะเขาคุ้นเคยกับเส้นทางและหาเลี้ยงชีพด้วยการขับรถวินบนถนนเส้นทางนี้มานานกว่าสิบปี
โชเฟอร์พุฒชำเลืองหางตามองผู้โดยสารในรถเป็นระยะ เพื่อที่จะเห็นว่าทุกคนอยู่ในอากัปกิริยาผ่อนคลายทั้งเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังสวมหูฟังก้มหน้าดูสมาร์ทโฟนอย่างเพลิดเพลิน ขณะที่ชายวัยกลางคนซึ่งตัดผมสั้นเกรียนแบบทหารนั่งหลับไม่สนใจใคร
เช่นเดียวกับเด็กน้อยวัยไม่เกินสามขวบที่ฟุบหลับอยู่บนอกแม่ซึ่งเป็นสตรีมุสลิมที่นั่งติดกับหญิงสาวผิวคล้ำเกล้าผมเรียบร้อยและกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คบนมือถือตั้งแต่แรกที่รถออกจากต้นทาง
“วันนี้วิ่งอีกเที่ยวเดียวคงพอ”
พุฒคิดในใจขณะที่บังคับพวงมาลัยให้หมุนไปตามเส้นทางโค้ง
“กลับบ้านเร็วหน่อยจะได้ดูถ่ายทอดฟุตบอลไทยเตะกับอิหร่านด้วย”
เกือบจะพร้อมๆ กับที่คิดคำนึงของพุฒสิ้นสุดลง สายตาของโชเฟอร์รถสายเบตง-นราธิวาส ก็ต้องเบิกกว้างเมื่อมองเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนทางโค้งเบื้องหน้า
“บรรลัยแล้ว!”
เสียงสบถอย่างตกใจดังลั่น ขณะที่เท้าของผู้เป็นโชเฟอร์เหยียบเบรกจมมิดด้วยสัญชาตญาณ
“มีต้นไม้ขวางถนน! โจรใต้เล่นงานเราแล้ว!”
แม้จะพยายามเข้าเกียร์ถอยหลังเพื่อกลับรถอย่างเร็วที่สุด แต่มันก็ยังช้าไปกว่าชายฉกรรจ์ห้าคนในชุดดำพร้อมอาวุธครบมือซึ่งพุ่งออกมาจากชายป่าเพื่อบล็อคถนนพร้อมกับยิงปืนขึ้นฟ้าดังสนั่น
ปังๆๆๆๆ! ปังๆๆๆๆ!
กัมปนาทปืนปลุกให้คนที่กำลังหลับสะดุ้งตื่นขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทุกคนลงมาจากรถเดี๋ยวนี้!”
หัวหน้าโจรประกาศิตด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“คุกเข่า… เอามือไว้บนหัว !”
มันตะโกนซ้ำในทันทีที่เหยื่อซึ่งกำลังจะถูกสังหารโหดแบบไม่เลือกว่าจะเป็นไทยพุทธหรือไทยมุสลิม เปิดประตูลงมาห้องโดยสารด้วยอาการตัวสั่นงันงก
จะมีก็เพียงหญิงสาวร่างสูงแข็งแรงที่ดูเหมือนจะคุมสติไว้ได้ ขณะที่ก้าวเท้าช้าๆ บนมือยังคงมีหนังสือเล่มหนาที่อ่านค้างติดมาด้วย
สายตาของหล่อนมองกวาดไปยังชายฉกรรจ์ซึ่งแยกกันยืนอยู่ทางด้านหัวและด้านท้ายของถนนก่อนที่ทั้งหมดจะเดินตรงเข้ามายังโชเฟอร์และผู้โดยสารที่นั่งคุกเข่าเรียงแถวกันตามลำดับ
“หูหนวกหรือไง แกไม่ได้ยินที่กูสั่งหรือไง!”
หนึ่งในกลุ่มโจรตะคอกพร้อมกับตวัดปืนเข้าหา
“หรือมึงอยากจะตายคนแรก กูจะได้สงเคราะห์ให้”
“เปล่าจ้ะพี่”
หญิงสาวเป่าลมหายใจออกจากปาก
ปืนที่อยู่บนมือข้างเดียวของมันถูกกระชากขณะที่ร่างซึ่งถูกกระแทกหงายล้มพร้อมกับหนังสือที่เป็นเหยื่อล่อแต่นั่นก็ยังไม่บรรลัยวายวอดเท่ากับการที่หญิงสาวนิรนามตวัดปืนเหนี่ยวไกสาดกระสุนออกไปเป็นวงกว้างเสียงดีงราวประทัดแตก
ปังๆๆๆๆ!
ปังๆๆๆๆ!
อานุภาพการยิงทำให้โจรใต้อีกสี่คน ซึ่งไม่ทันระวังตัวกระเด็นกันไปคนละทางก่อนที่มัจจุราชสาวจะหมุนตัวกลับกดปลายลำกล้องลงต่ำเกือบจะพร้อมๆ กับที่หัวหน้าโจรชะตาขาดนัยน์ตาเหลือก ร้องออกมาเป็นประโยคสุดท้าย
“มึง… มึงเป็นใครกันวะ”
“ฉันน่ะเหรอ…”
คนที่ยืนจังก้าคร่อมร่างหัวเราะเสียงกร้าว
“ฉันคือร้อยโทหญิงศมาวดี… จากกองร้อยทหารพราน 110 จงจำชื่อฉันไว้ไปบอกยมบาลด้วย!”
ขาดคำประกายไฟก็แลบวาบออกจากปากกระบอกพร้อมเสียงแหลมก้อง ยังผลให้หน้าผากของโจรใต้แตกกระจาย วิญญาณชั่วหลุดลอยออกจากร่างในบัดดล!
——————————————
อาคารไร้ชื่อ ใจกลางกรุงเทพมหานคร
วันสุดท้ายของเดือน
เมื่อร่างสูงใหญ่ของผู้นำประเทศเดินเข้ามาพร้อมกับรัฐมนตรีกลาโหม ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมอันประกอบไปด้วยผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนายทหารระดับพลเอก รวมทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาต่างลุกขึ้นตรงพร้อมกับก้มศีรษะทำความเคารพ
“เชิญนั่งครับ”
นายกฯ พูดสั้นๆ พร้อมกับพยักหน้า
“พร้อมกันแล้วก็เริ่มได้เลย”
“ครับผม”
ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติหรือ ผบ.ศรภ. ตอบรับ ก่อนจะกดไมค์ที่อยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าตนเอง
“เรียนท่านนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม การประชุมวาระพิเศษในครั้งนี้ก็เพื่อนำเรียนให้ทราบถึงการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษรักษากฎหมายเพื่อความมั่นคง หรือในชื่อจัดตั้งว่าหน่วยพิทักษ์ประชา
“เหตุผลสำคัญที่ทำให้หน่วยความมั่นคงทั้งหมดเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่จำเป็นจะต้องจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่มีขีดความสามารถสูงสุดเพื่อรับมือกับภัยคุกคามทุกรูปแบบ ทั้งอาชญากรรมร้ายแรงจากแก๊งอิทธิพล คนร้ายข้ามชาติ ตลอดจนกลุ่มก่อการร้ายทั้งในและนอกประเทศ”
“ฟังดูเข้าท่าทีเดียว”
ผู้นำสูงสุดของไทยพยักหน้า
“คุณกำลังจะบอกว่าหลังจากเหตุร้ายที่โคราช บ้านเมืองของเราไม่เหมือนเดิมแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
น้ำเสียงที่ตอบจริงจัง
“จากวันนั้นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลและไม่มีวันกลับไปสงบสุขปลอดภัยเหมือนเดิมได้อีก ในฐานะที่ทุกหน่วยงานความมั่นคงมีภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษากฎหมายเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ตลอดจนบุคคลสำคัญรวมทั้งสถาบันสูงสุด หน่วยพิทักษ์ประชาจึงถือกำเนิดขึ้นโดยคัดเลือกกำลังพลชั้นหัวกะทิที่มีประสบการณ์และผลงานจากการปฏิบัติภารกิจสำคัญที่ผ่านมามากมาย”
“เป็นดรีมทีมของประเทศว่างั้นเถอะ”
นายกฯ เลิกคิ้ว สีหน้าบอกถึงความเข้าใจ
“ว่าแต่ ครม. ต้องออกกฎหมายพิเศษรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยนี้หรือเปล่า”
“ไม่จำเป็นครับ เพราะสามารถใช้กฎหมายปกติได้ เนื่องจากในทีมจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และมีทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน”
“ก็ดี เพราะตอนนี้ ม.44 ก็ไม่มีแล้ว ใช้กฎหมายปกติผู้คนจะได้ไม่รู้สึกอะไร”
พูดจบ นายกฯ ก็ย้อนถาม
“ว่าแต่ดรีมทีมของคุณมีกี่คน ใครบ้าง ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“ทุกคนรอที่จะเข้ามารายงานตัวอยู่ในห้องพักด้านข้างครับ ผมจะเรียกเข้ามาพบท่านเดี๋ยวนี้ครับ”
อึดใจต่อมา ประตูด้านซ้ายของห้องประชุมก็เปิดออกพร้อมๆ กับที่ร่างในชุดคอมแบทสูทสีดำรวม 5 นาย พร้อมอาวุธประจำกายก้าวเข้ามา
“สวมหมวกไหมพรมมิดชิดแบบนี้ผมก็ไม่เห็นหน้าค่าตาน่ะสิ”
นายกฯ สัพยอก
“ครับ… เวลานี้พวกเขาอยู่ในเครื่องแบบชุดปฏิบัติการที่จะเปิดเผยต่อสายตาสาธารณชน แต่ในการปฏิบัติภารกิจลับทั้งการแทรกซึมสืบสวนสอบสวน พวกเขาจะอยู่ในชุดพลเรือน”
“แนะนำตัวหน่อยสิ พ่อหนุ่ม”
นายกฯ พยักเพยิดให้เจ้าหน้าที่คนแรก
“ร้อยตำรวจโทหญิงแวววาว จากหน่วยสืบสวนคดีพิเศษค่ะ”
“อ้าว… ผู้หญิงหรอกหรือ”
ผู้นำสูงสุดอุทานออกมาด้วยเสียงหัวเราะ
“ขอโทษที ผมไม่ได้ใส่แว่น ดูเผิน ๆ เลยคิดว่าคุณเป็นผู้ชาย”
พูดจบ ก็ขยับไปยังดรีมทีมคนที่สอง
“แล้วหนูล่ะ ชื่ออะไรมาจากหน่วยไหน”
“กระผม… นาวาโทคมจักร ผู้ชายทั้งแท่ง สังกัดหน่วยปฏิบัติการลับ กองทัพเรือครับ”
“บ๊ะ… ผิดอีกแล้วหรือนี่”
นายกฯ “ลุงตุ๊” ฝืนหัวเราะ
“วันนี้มันยังไงกัน ทำไมตาลายแบบนี้ก็ไม่รู้ สงสัยเมื่อคืนนอนน้อยไปหน่อย”
“ถ้างั้นกระผมขออนุญาตเป็นผู้แนะนำให้ท่านนายกฯ รู้จักเพื่อนร่วมทีมก็แล้วกันครับ”
คมจักรอมยิ้มก่อนจะผายมือไปยังคนที่ยืนเรียงต่อกันไปเป็นลำดับ
“คนนี้นาวาโทธงอินทร์จากหน่วยเดียวกับผม… ถัดไปเป็นทหารพรานหญิง ศมาวดี จากกองร้อยทหารพราน 110 จังหวัดนราธิวาส และคนสุดท้าย ร้อยตำรวจเอกธณิศร เป็นรุ่นน้องผมจากโรงเรียนเตรียมทหาร”
“ยินดีที่ได้รู้จักกับพวกคุณทุกคน”
นายกฯ ยื่นมือให้สมาชิก “ดรีมทีม” จับทีละคน
“หวังว่าผมคงฝากอนาคตความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและความมั่นคงของประเทศชาติไว้ในมือพวกคุณได้นะ”
“พวกเราจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ให้สมกับที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นกำลังพลของหน่วยนี้ค่ะ”
นายตำรวจสาวให้คำมั่น
“ขอบคุณ”
นายกฯ พยักหน้าก่อนจะหันกลับมายังผู้รับผิดชอบสภาความมั่นคง
“แล้วการบังคับบัญชาล่ะ หน่วยนี้จะขึ้นตรงกับใคร”
“เราจัดตั้งเป็นศูนย์ปฏิบัติการร่วมโดยมี ผบ. เหล่าทัพและ ผบ. ตำรวจ เป็นผู้บัญชาการและอำนวยการปฏิบัติร่วมกันครับ”
“โอเค คุณจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปครับ”
นั่นเป็นคำตอบที่ผู้นำสูงสุดได้ยินซึ่งทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อม ๆ กับความคิดว่า… แม้บ้านเมืองจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็ตาม…
แต่รัฐบาลชุดนี้ก็พร้อมรับที่จะรับมือและนำพานาวาที่ชื่อประเทศไทยไปสู่จุดหมายที่วางไว้ให้สำเร็จบนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
——————————————
อาคารร้างบริเวณท่าเรือด้านทะเลอันดามัน
“ลากคอมันขึ้นมา”
คนเป็นหัวหน้าร้องสั่ง
“กูอยากจะรู้ว่าใครส่งมันมาที่นี่และยังมีพรรคพวกของมันอีกมั้ย”
โดยไม่ต้องให้มีการประกาศิตซ้ำสอง ทรชนต่างชาติซึ่งนัดเจรจากับ “นกต่อ” ชาวไทยในการลำเลียงยาเสพติดล็อตใหญ่กระชากแวววาวให้ลุกขึ้นจากพื้นเพื่อเผชิญหน้ากับลูกพี่ของมัน
“แกเป็นใคร มาที่นี่ได้ยังไง”
ยังไม่ทันที่นายตำรวจสาวซึ่งปลอมตัวเข้ามาติดต่อคนร้ายจะตอบ สมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงของหล่อนก็กระตุกหนึ่งครั้งบอกให้รู้ว่ามีสัญญาณบางอย่างถูกส่งเข้ามา
แวววาวจึงยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกเมื่อรู้แล้วว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายถึงขีดสุดอย่างที่คิด
“ฉันเป็นใครน่ะเหรอ…”
น้ำเสียงของหล่อนเป็นปกติ
“ฉันคือยมทูตที่จะนำความตายมาสู่พวกแกทุกคน”
ประโยคที่ได้ยินทำให้หัวหน้าทรชนเลิกคิ้วอย่างพิศวง
“แกว่าอะไรนะ”
“ก็อย่างที่พูดไปแล้วนั่นแหละ ฉันคือคนที่จะทำให้พวกแกทุกคนได้ตายโหงไปพร้อมๆ กัน”
“ด้วยวิธีไหน”
“สไนเปอร์”
พยัคฆ์สาวชาวไทยตอบสั้นๆ ก่อนจะขยายความ
“แกคงไม่รู้ว่าเวลานี้คนของฉันกำลังส่องกระโหลกพวกแกด้วยกล้องเล็งจับเป้าด้วยความร้อนของปืนซุ่มยิงที่ใช้กระสุนขนาด 20 มิลลิเมตร ถ้าคนยิงเหนี่ยวไกเมื่อไหร่รับรองได้ว่าไม่มีใครรอดแน่!”
คำพูดของนายตำรวจสาวทำให้หัวหน้าทรชนไหวกายด้วยสัญชาตญาณหมายจะเล่นงานเชลยให้แดดิ้น แต่อากัปกิริยานั้นก็ช้าเกินไปเมื่อแวววาวร้องคำรามดังลั่น
“ลงนรกไปเถอะแก!”
ราวกับว่าคำพูดนั้นเป็นประกาศิตของมัจจุราช เพราะไม่ทันขาดคำเสียงตูมสนั่นอันเกิดจากกระสุนขนาด 20 มิลลิเมตร เจาะทะลวงผนังห้องก็แผดสะท้านแก้วหูพร้อมๆ กับที่กระโหลกของหัวหน้าทรชนซึ่งอยู่ในวิถีการยิงของสไนเปอร์ด้านนอกที่ใช้กล้องจับคลื่นความร้อนมีสภาพไม่ต่างอะไรกับแตงโมระเบิดกระจายในพริบตา
วินาทีนั้นเองที่สมุนของมันคนแรกที่หายจากการตกตะลึงตวัดอาร์ก้าหมายจะใช้เป็นอาวุธสังหารแวววาวให้ดับดิ้น
แต่ปฏิกิริยานั้นกลับกลายเป็นการตัดสินโทษของตนเองเพราะสไนเปอร์ที่ใช้อินฟาเรดส่องทะลุผนังบ้านและมองเห็นทุกความเป็นไปจากคลื่นความร้อนเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนขนาดใหญ่นัดที่สองออกมาดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า
ตูม!
มฤตยูนัดนั้นเจาะทะลวงผนังปูนพุ่งเข้าใส่ร่างอันเป็นเป้าหมายอย่างแม่นยำจนคนที่โดนเข้าไปกระเด็นผางราวกับถูกม้าเตะหมดโอกาสที่จะกระหน่ำอาร์ก้าออกมาสังหารแวววาวอย่างที่คิดไว้
มิหนำซ้ำในเสี้ยววินาทีอันรวดเร็วยิ่งกว่าแมลงเล็กๆ สะบัดปีก สองมือที่เคยประสานอยู่บนศีรษะของนายตำรวจสาวในท่ายอมจำนนก็ตวัดออกจากกันพร้อมกับสันมืออันเกร็งแน่นเป็นอาวุธเหวี่ยงฉับเข้ากลางคอหอยของทรชนซึ่งอยู่ทางขวาชนิดที่มันตั้งตัวไม่ทัน
ฉัวะ!
ทีเดียว ลูกกระเดือกของไอ้นั่นเหมือนจะแตกเป็นชิ้นๆ เมื่อถูกสับเต็มเหนี่ยว และมรณกาลของศัตรูต่างชาติทั้งกลุ่มก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงนั้น เพราะในพริบตาอันต่อเนื่องกัน อาวุธประจำกายของศัตรูซึ่งมีกระสุนเต็มแม็กก็ถูกแวววาวกระชากออกจากร่างซึ่งกำลังสะดุ้งผงะด้วยความเจ็บปวดก่อนที่อาร์ก้ากระบอกนั้นจะกลายมาเป็นทูตมรณะที่พ่นกระสุนเข้าใส่พวกมันในระยะเผาขน เสียงดังราวกับประทัดแตก
ปังๆๆๆๆ!
ปังๆๆๆๆ!
อานุภาพของกระสุนสังหารทำให้ร่างที่อยู่ในวิถีการยิงล้มระเนระนาด ขณะที่ยมทูตหญิงซึ่งเป็นมือพิฆาตม้วนตัวลงสู่พื้นแล้วกราดกระสุนซ้ำออกไปเป็นวงกว้าง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีศัตรูคนใดเหลือรอด
เปลวปืนสว่างวาบไม่ต่างอะไรกับมัจจุราชที่พ่นไฟแห่งความตายออกไปใส่ทรชนในสังกัดไซยชนา พยัคฆ์สาวชาวไทยเหนี่ยวไกยิงจนกระทั่งกระสุนหมดแม็กพร้อมๆ กับที่ปรปักษ์ทั้งหมู่ดับดิ้นไม่มีเหลือ
ทั่วบริเวณแห่งความตายเงียบกริบหลังจากปลอกกระสุนร้อนจี๋นัดสุดท้ายกระเด็นสู่พื้น นายตำรวจหญิงได้ยินแต่เสียงลมหายใจของตนเอง ขณะที่กระชับปืนยืนจังก้าอยู่ท่ามกลางร่างไร้วิญญาณของศัตรูต่างเชื้อชาติ ซึ่งถูกสังหารเรียบด้วยฝีมือของพยัคฆ์สาวชาวไทย
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปรปักษ์คนใดเหลือรอด แวววาวจึงโยนปืนทิ้งแล้วหยิบสมาร์ทโฟนออกมาเพื่อติดต่อกับ “พลซุ่มยิง” ที่เป็นตัวช่วยในภารกิจข้ามชาติ
“ฮัลโหล…”
เสียงคุ้นหูตอบมาในทันที
“ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา งานไม่เสียใช่มั้ยครับ”
“ผู้พันไปอยู่ที่ไหนมา ไอ้พวกนั้นเกือบจะลากตัวหนูไปปู้ยี่ปู้ยำอยู่แล้ว”
“อ๊ะ… ได้ยังไง”
คมจักรอุทาน
“ถ้าเป็นยังงั้นละก็ พี่จะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด ที่พี่มาช้าก็เพราะติดด่านไวรัสโคโรน่า”
“แล้วตอนนี้ผู้พันอยู่ที่ไหนคะ”
“ดาดฟ้าตึกร้างห่างจากเซฟเฮ้าส์ไปแค่สองเสาไฟฟ้า สามารถเดินไปกอดรับขวัญสายลับสาวได้ภายในไม่เกิน 5 นาทีนี้”
“โอเค เจอกันค่ะ”
หล่อนพูดง่ายๆ
“อย่าลืมแจ้งท้องที่ให้เข้ามาตรวจดูที่เกิดเหตุและพลิกศพคนร้ายด้วย”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายของนายตำรวจสาวซึ่งเสร็จสิ้นภารกิจแรกของดรีมทีมประเทศไทย ก่อนที่หล่อนจะเดินออกไปจากบริเวณนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
***********************************
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป