◊ ดรีมทีม (1) ◊
………..
ประเทศไทย ชายแดนภาคตะวันออก เวลา 10.30 นาฬิกา
สองสัปดาห์หลังเกิดเหตุร้ายสะเทือนขวัญที่จังหวัดนครราชสีมา
“พบรถคนร้ายจอดอยู่ที่ท่าเรือประมงแหลมหลวง ขณะนี้กำลังสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์เบื้องต้น ทุกคนให้การตรงกันว่าหลังปล่อยเหยื่อค่าไถ่ คนร้ายได้หลบหนีลงเรือประมงชื่อโชควารี-2”
“ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ แสดงว่ามันตั้งใจจะหนีข้ามเขตไทยเข้าสู่เขมรแน่”
ร้อยตำรวจเอกธณิศรจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ “สู้ไพรินทร์” ซึ่งอยู่บน ฮ. วิเคราะห์ก่อนจะแจ้งความตั้งใจของตน
“ผมจะลองสุ่มบินออกไปในทะเลขนานกับชายฝั่งเพื่อค้นหาเรือประมงต้องสงสัย เพราะนี่ไม่ใช่เวลาที่ตังเกจะออกหากิน ถ้าลำไหนแล่นไปทางตะวันออกละก็ ผมจะโฉบลงไปดูว่าลำนั้นเป็นเรือโชควารี-2 ที่พาผู้ต้องหาหลบหนีหรือเปล่า”
“โอเคครับผู้กอง”
บรรลือวงษ์ซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งโจรค่าไถ่คิดว่าตนเองน่าจะมีโอกาสรอดพ้นเงื้อมมือเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสามารถซุกหัวกบดานอยู่ในประเทศกัมพูชาได้เช่นเดียวกับผู้ต้องหาชาวไทยอีกหลายคนที่ก่อคดีก่อนหน้านี้
แต่ด้วยเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารแบบ “เรียลไทม์” เชื่อมโยงกับกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ตามท้องถนนเกือบทุกสายของจังหวัดระยองรวมทั้งการที่ฝ่ายผู้รักษากฎหมายมี “อากาศยาน” เป็นตัวช่วยที่สำคัญ หัวหน้าโจรค่าไถ่จึงไม่อาจเผ่นหนีเข้าสู่ดินแดนของเพื่อนบ้านได้โดยง่ายอย่างที่ต้องการ
เพราะหลังจากเรือตังเกที่เป็นพาหนะแล่นออกมาจากฝั่งได้เพียงครึ่งชั่วโมงเศษๆ หัวหน้าแก๊งโจรค่าไถ่ก็ได้ยินเสียงกระหึ่มบนท้องฟ้าเกือบจะพร้อมๆ กับที่ไต้ก๋งซึ่งเป็นผู้ถือพังงาเรือร้องตะโกนดังลั่นอย่างตื่นตระหนก
“แย่แล้วนาย! มี ฮ. บินตามมา!”
ทันทีที่โผล่ออกไปจากเก๋งเรือ บรรลือวงษ์ก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อประจักษ์ว่า ฮ. ของกองบินตำรวจกำลังลดระดับลงมาและบินเข้าหาและเป้าหมายทางด้านท้ายเรือมองเห็นได้อย่างถนัด
“เรือประมงโชควารี หยุดเครื่องเดี๋ยวนี้!”
ธณิศรซึ่งอยู่บน ฮ. ชะโงกตัวออกมาจากห้องโดยสารพร้อมกับโทรโข่งบนมือก่อนจะร้องตะโกนแข่งกับเสียง ฮ.
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ… อย่าคิดต่อสู้เป็นอันขาด!”
“เอายังไงครับนาย”
ไต้ก๋งร้องถาม
“ทำตามคำสั่งมันไปก่อน… เดี๋ยวกูจัดการเอง!”
บรรลือวงษ์ขบกรามแน่นก่อนจะหันไปบอกสมุนคู่ใจซึ่งทำหน้าที่โชเฟอร์และหนีมาด้วยกัน
“ไอ้โย.. เตรียมปืน!”
“ลูกพี่จะให้ยิง ฮ. ใช่มั้ยครับ”
สมุนทรชนร้องถามพร้อมกับหยิบอาร์ก้าขึ้นมากระชากลูกเลื่อนก่อนจะได้ยินคำสั่ง
“ตำรวจคงไม่คิดว่าเราจะสู้ เล็งไปที่ห้องนักบินแล้วสอยมันให้ร่วง!”
ไม่กี่อึดใจหลังจากไต้ก๋งเรือประมงได้ยินเสียงประกาศเป็นครั้งที่สอง “โชควารี” ซึ่งมีขนาดความยาว 60 เมตร ก็หยุดการเคลื่อนที่ปล่อยให้กระแสคลื่นบนผิวทะเลหนุนเนื่องเรือให้โคลงเคลงไปมา
นักบิน ฮ. จากกองบินพิทักษ์สันติราษฎร์จึงนำเครื่องตีวงผ่านท้ายเรือแล้วอ้อมไปด้านหน้าเตรียมที่จะปล่อยนายตำรวจหนุ่มลงสู่ดาดฟ้าหัวเรือตามคำสั่ง
จังหวะนี้เองที่ไอ้โยสมุนคนสนิทของหัวหน้าแก๊งค่าไถ่ถลันออกมาจากเก๋งเรือพร้อมด้วยอาร์ก้าบนมือที่ตวัดเข้าหาเป้า
แว่บแรกที่เห็นอันตราย ธณิศรก็ถีบเท้าพุ่งตัวจากตำแหน่งพร้อมกับร้องตะโกนสุดเสียง
“ระวัง! ข้างล่างจะยิงเรา!”
พริบตาเดียวกับที่ไอ้โยเหนี่ยวไก นักบินตำรวจก็โยกสติ๊คหรือคันบังคับ ฮ. ไปทางข้าง ยังผลให้ ฮ. เอียงวูบในวินาทีที่กัมปนาทปืนแผดสนั่น
ปังๆๆๆๆ! ปังๆๆๆๆ!
ประกายไฟแล่บวาบจากปลายลำกล้องขณะที่กระสุนพุ่งออกมาเป็นลูกไฟแดงโร่ แต่พลาดเป้าไปอย่างฉิวเฉียด ตรงข้ามกับการยิงของธณิศรซึ่งกระชากปืนสั้นออกมาจากเอว ทั้งที่กำลังเหินลิ่วกลางอากาศแล้วเหนี่ยวไกเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามราวกับสายฟ้าแลบ
วินาทีที่ทูตมรณะจากการยิงของธณิศรลั่นก้อง กระสุนสังหารก็พุ่งเข้าใส่เป้าหมายอย่างแม่นยำ ยังผลให้คนที่โดนเข้าไปหงายผงะด้วยแรงปะทะของลูกตะกั่วทั้งสามนัดที่ทะลวงเข้าเต็มยอดอก วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างก่อนที่จะโค่นตึงลงสู่พื้นด้วยซ้ำ
ทรชนโยจึงกลายเป็นผีไปโดยไม่มีโอกาสเห็นภาพเหลือเชื่อ เมื่อนายตำรวจหนุ่มตีลังกาลงมายืนจังก้าบนดาดฟ้าหัวเรือราวกับนักกายกรรมชั้นยอด เพื่อหันปากกระบอกเข้าใส่คนที่อยู่ในเก๋งเรือพร้อมกับเสียงตะโกนเฉียบขาด
“ทุกคนเอามือไว้บนหัว แล้วเดินออกมาเดี๋ยวนี้!”
ประกาศิตของธณิศรทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าขัดขืน หัวหน้าโจรค่าไถ่กับไต้ก๋งและลูกเรืออีกคนจึงก้าวเท้าออกมา โดยมีไต้ก๋งร่างล่ำบึกนำหน้าตามด้วยบรรลือวงษ์และลูกเรือ
“กระเป๋าสะพายของกูในเก๋งเรือมีเงินอยู่ห้าล้าน!”
วายร้ายชั้นหัวหน้าเค้นเสียงรอดไรฟันออกมาชนิดไม่ดังจนเกินไป
“ใครจัดการตำรวจได้… เอาไปเลย!”
รางวัลล่อใจทำให้คนที่ได้ยินหูผึ่ง ลูกน้องของไต้ก๋งจึงเหลือบตามองอาร์ก้าที่ร่วงอยู่บนพื้นใกล้ศพไอ้โยที่ถูกเด็ดชีพไปก่อนหน้า ขณะที่สมองซึ่งมีรอยหยักคิดง่ายๆ ว่าฝ่ายเดียวกันสองคนที่เดินอยู่ข้างหน้าจะช่วยกำบังไม่ให้ศัตรูเล็งเป้าได้ถนัด ในวินาทีที่มันโผนเข้าคว้าปืนขึ้นมาเป็นอาวุธและอาร์ก้าซึ่งเป็นไรเฟิลอัตโนมัติย่อมมีอานุภาพเหนือกว่าหากดวลกับปืนสั้นซึ่งเป็นเขี้ยวเล็บของฝ่ายตรงข้าม
นั่นเองจึงทำให้ลูกน้องไต้ก๋งตัดสินใจกระโจนพรวดเข้าหาอาวุธอัตโนมัติที่อยู่ห่างออกไปซ้ายมือเพียงแค่เอื้อมแล้วคว้ามันขึ้นมาชนิดเร็วสุดชีวิต
แว่บแรกที่เห็นร่างวูบไหวถีบเท้าออกจากแถวแล้วหันกลับมาพร้อมด้วยเครื่องประหารบนมือ ธณิศรซึ่งเล็งปืนเข้าใส่สองคนด้านหน้าก็ตวัดปากกระบอกออกจากตำแหน่งเดิมแล้วเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนออกไปชนิดยิงตัดหน้าเพียงเสี้ยววินาที
ลูกเรือที่หวังจะคว้ารางวัลห้าล้านจึงมีอันสะดุ้งสุดตัวเมื่อโดนกระสุนร้อนจี๋เข้าแบบเต็มๆ จนหมุนคว้างพร้อมๆ กับนิ้วที่อยู่บนไกกระตุกเกร็ง ยังผลให้อาร์ก้าลั่นคำรามออกมาในวินาทีสุดท้าย ก่อนที่ร่างของมันจะร่วงจากกราบเรือหล่นตูมลงสู่ทะเลในบัดดล
แม้นายตำรวจหนุ่มจะจัดการกับปรปักษ์ได้ด้วยความว่องไวที่เหนือกว่า แต่ในพริบตาที่ปากกระบอกของธณิศรเบนหลุดจากเป้าหมายเดิมเพื่อลั่นกระสุนใส่คนที่ฮึดสู้ ไต้ก๋งร่างล่ำบึกซึ่งรอจังหวะอยู่แล้วก็กระโจนเข้าใส่พร้อมกับบาทาติดจรวดที่เหวี่ยงตูมออกมาโดยมีปืนบนมือของธณิศรเป็นเป้า
แรงเตะทำให้อาวุธทั้งกระบอกปลิวหวือหล่นลงน้ำก่อนที่คนเตะจะโถมตัวตามแล้วยิงกำปั้นเข้าใส่สุดแรงเกิด และกำปั้นไร้นวมที่ทิ่มเข้าเต็มหน้าก็ทำให้นายตำรวจหนุ่มหงายผงะหล่นลงไปก้นจ้ำเบ้า พร้อมๆ กับที่คนต่อยกระโจนตามหมายจะกระทืบซ้ำให้แน่นิ่งคาตีน
แต่ธณิศรเป็นเสือร้ายไม่ใช่หมูที่ใครจะเคี้ยวเล่นง่ายๆ เท้าขวาของนายตำรวจหนุ่มจึงยันเปรี้ยงสวนออกไปยังหว่างขาของศัตรูอย่างว่องไว
ไต้ก๋งร่างยักษ์จึงกระเด็นผางแหกปากลั่นเมื่อกล่องดวงใจเจอลูกถีบเต็มเหนี่ยวความเจ็บจุกแล่นจี๋ขึ้นสู่สมอง และในจังหวะที่ปรปักษ์กำลังหน้าเขียวเอามือกุมเป้า นายตำรวจหนุ่มก็ผุดลุกขึ้นอย่างว่องไวแล้วโผนเข้าใส่พร้อมกับกำปั้นซ้ายเกร็งแน่นที่พุ่งออกไปสุดแรงเกิด
ผัวะ!
เสียงตะบันอันเป็นปฐมฤกษ์จากธณิศรดังถนัดหูพร้อมๆ กับที่ไต้ก๋งกลายเป็นลำตัดหน้าสะบัดร้องอุทานออกมาในจังหวะที่หงายผงะกระเด็นลงไปก้นจ้ำเบ้าชนิดที่เจ้าตัวนึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกโต้คืนอย่างรวดเร็วเช่นนั้น
แต่ไต้ก๋งจอมอึดทนทายาด มันถ่มเลือดออกมาจากปากแล้วเผ่นพรวดลุกขึ้นด้วยท่าทีเดือดดาลสุดขีดพร้อมกับคำรามออกมา
“มึงรู้มั้ย… ตำรวจมีไว้ทำไม”
“มีไว้ลากคอคนชั่วอย่างพวกแกเข้าตะรางไงล่ะ”
“เข้าใจผิดแล้ว ตำรวจมีไว้ให้ถูกกระทืบและไอ้เรื่องกระทืบตำรวจ มันของโปรดกูอยู่แล้ว!”
โดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแม้แต่วินาทีเดียว ร่างอันบึกบึนเต็มไปด้วยมัดกล้ามของคนคุมเรือโชควารีทะยานเข้าหาธณิศรแล้วเหวี่ยงแข้งเข้าใส่ชนิดสุดแรงเกิดแบบที่เรียกว่า “เตะถวายจ้าว”
ทั้งที่ธณิศรยกแขนตั้งการ์ดปิดป้องไว้ได้แต่แรงปะทะอันหนักหน่วงรุนแรงจากอาวุธมวยไทยลูกนั้น ก็ทำให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ซึ่งเพิ่งจะกระโดดลงมาจาก ฮ. สะท้านสะเทือน มิหนำซ้ำไต้ก๋งที่เป็นคนเตะยังโถมตัวตามเข้าประชิดแล้วยิงหมัดซ้ายขวาเป็นพายุบุแคมชนิดไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อกรได้ตั้งตัวติด
ขณะที่การตะบันนอกเวทีเป็นไปอย่างดุเดือด บรรลือวงษ์หัวหน้าโจรก็ผละออกไปเพื่อหาตัวช่วยในการปิดบัญชีฝ่ายตรงข้าม มันจึงไม่ทันได้เห็นนายตำรวจหนุ่มซึ่งปิดป้องพายุหมัดอย่างแข็งแกร่งกระหน่ำเตะสกัดคืนไปหลายฉาดตามด้วยหมัดซ้ายขวาจนปรปักษ์ซวนเซ
แต่ธาตุทรหดทำให้ไต้ก๋งทนทานอยู่ได้ มิหนำซ้ำยังร้องคำรามอย่างคลั่งเลือดกระโจนสวนกลับอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมทั้งยิงคืนมาด้วยหมัดและเท้าอย่างดุเดือดชนิดไม่ยอมโดนอัดข้างเดียว
ธณิศรซึ่งปักหลักแลกหมัดในตอนแรกจึงโยกตัวล่าถอยอย่างมีเชิง เพราะรู้ว่าตนเองเสียเปรียบแรงปะทะ แต่ในฉับพลันที่ศัตรูย่ามใจกระโจนตามหมายเผด็จศึกด้วยกำปั้นที่ง้างมาแต่ไกล พยัคฆ์หนุ่มที่ซ่อนคมเขี้ยวอย่างธณิศรก็หมุนตัวขวับพร้อมกับเหวี่ยงแขนกระชากศอกกลับราวกับสายฟ้าแลบ
ผัวะ!
มีเสียงดังสนั่นเมื่ออาวุธร้ายตามแบบแม่ไม้มวยไทยขนานแท้ปักเข้าที่ปากครึ่งจมูกครึ่งจนคนที่โดนเข้าไปหน้าหงายเลือดกระจายร้องอุทานเสียงลั่น เซถลาเป็นนกปีกหักเข้าไปปะทะกับถังน้ำจืดขนาดใหญ่ที่เรียงแถวกันอยู่ข้างกราบเรือจนล้มกลิ้งลงไปพร้อมๆ กันทั้งคนทั้งของสติดับไปในบัดดล
ถึงตอนนั้นบนเรือโชควารีก็เหลือเพียงหัวหน้าโจรบรรลือวงษ์เพียงคนเดียวที่ยังไม่ยอมจำนนง่ายๆ มิหนำซ้ำเมื่อธณิศรซึ่งเพิ่งเผด็จศึกตังเกคนสุดท้ายมาสดๆ ร้อนๆ หันกลับไปมอง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของนายตำรวจหนุ่มก็คือคนร้ายที่ต้องการจับกุมยืนจังก้าคำรามออกมาพร้อมด้วยดาบขาววับบนมือ
“อยากตายก็เข้ามา!”
“ทิ้งอาวุธเสียเถอะ ไม่งั้นแกจะโดนข้อหาต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานอีกกระทง”
ธณิศรร้องบอกขณะที่ยิ้มอย่างใจเย็น
“แกไม่ใช่สมุนโจรที่เชี่ยวชาญการฆ่า ถึงจะมีดาบอยู่บนมือก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
“มึงตาย!”
เสียงตะโกนแผดก้องแทนคำตอบพร้อมๆ กับการกระโจนเข้าใส่โดยมือข้างที่กำอาวุธเงื้อขึ้นสุดแขน
แต่ในทันทีที่โลหะคมกริบแหวกอากาศลงมา ร่างปราดเปรียวของนายตำรวจมหากาฬก็พุ่งสวนเข้าหาในตำแหน่งเฉียงข้างพร้อมกับมือซ้ายตวัดฉับเข้ารับข้อมือข้างที่มีอาวุธของฝ่ายตรงข้ามแล้วกระชากกลับเพื่อให้แขนข้างนั้นเหวี่ยงตามไปอยู่ด้านหลังในจังหวะที่พริ้วตัวอ้อมร่างและใช้แขนอีกข้างล็อคหมับเข้าที่คออย่างว่องไวจนคนที่โดนเข้าไปดิ้นไม่หลุด
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จังหวะพิฆาตเท่ากับการที่ธณิศรบิดแขนของศัตรูสุดแรงเกิดจนมีเสียงแตกสะบั้นของกระดูกที่หักพร้อมกับไหล่ซึ่งโดนพลิกหลุดจนเจ้าตัวแหกร้องเสียงหลงและไม่อาจบังคับอวัยวะข้างนั้นได้อีก
“ดื้อด้านนัก… งั้นหลับไปก่อนก็แล้วกัน!”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่บรรลือวงษ์ได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงเมื่อธณิศรปล่อยมือที่ล็อคคอเปลี่ยนเป็นคาราเต้พิฆาตที่ฟันตูมเข้าใส่กกหูของหัวหน้าโจรค่าไถ่สุดแรงเกิด
ผัวะ!
เสียงสันมือแข็งแกร่งสับเข้าใส่จุดสลบดังให้ได้ยินอย่างถนัดเกือบจะพร้อมๆ กับที่ร่างของหัวหน้าโจรค่าไถ่ร่วงผล็อยลงไปกองอยู่แทบเท้าของธณิศรราวกับผ้าขี้ริ้วที่ถูกขยำทิ้ง
บรรลือวงษ์จึงไม่มีโอกาสได้เห็นนายตำรวจหนุ่มส่งสัญญาณถึงนักบิน ฮ. ที่อยู่เหนือหัวเพื่อบอกให้รู้ว่าคดีโจรค่าไถ่ปิดฉากลงแล้วอย่างสมบูรณ์!
——————————————
ประเทศลาว
ไกลออกไปจากคาสิโนเวียงสวรรค์ประมาณ 50 กิโลเมตร บ้านใหญ่ที่มีรั้วรอบขอบชิดหลังหนึ่งถูกใช้เป็น “จุดนัดพบ” ระหว่างสายข่าวที่อยู่ในขบวนการมาเฟียสองฝั่งโขงกับสายลับสาวชาวไทยที่ข้ามมาปฏิบัติการลับ
เป็นเวลาหลายชั่วโมงมาแล้วที่ร้อยตำรวจโทหญิงแวววาวปักหลักอยู่ในบ้านหลังนั้นซึ่งอยู่นอกตัวเมือง หล่อนกำลังรอคอยการมาถึงของใครคนหนึ่งตามที่นัดหมายกันไว้
เด็กหนุ่มคนนั้นที่ชื่อ “ภูคำ” จะมาพบแวววาวเพื่อส่งมอบรายชื่อและตำบลที่ซึ่งเป็นแหล่งพักยาเสพติดก่อนข้ามเข้าสู่ฝั่งไทย
เป็นที่รู้กันในทางลับว่าบุคคลสำคัญระดับสูงในหน่วยงานความมั่นคงของลาวหนุนหลังเจ้าพ่อไซยชนา ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเป็นเสมือนฐานที่มั่นของวายร้ายระดับชาติ มีอิสระในการเดินทางเข้าออกตามแนวชายแดนได้อย่างสะดวก
ดังนั้นการลิดรอนปราบปรามศัตรูขบวนการค้ายาเสพติดจึงจำเป็นจะต้องข้ามฝั่งออกไปปฏิบัติการนอกประเทศโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
สำหรับร้อยตำรวจโทหญิงแวววาว จากแผนกปฏิบัติการลับคดีพิเศษ ภารกิจของหล่อนในครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรยากลำบาก เพียงแค่รอให้สายข่าวมาถึงตามนัดแล้วส่งมอบของแลกกับเงินค่าตอบแทน จากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายถอนตัวออกจากพื้นที่
แวววาวข้ามชายแดนเข้ามาฝังตัวอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน รอคอยการมาถึงของภูคำซึ่งเลื่อนนัดกับหล่อนมาแล้วสามครั้ง แต่ครั้งนี้แวววาวได้รับคำยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่มีการเลื่อนนัดและหล่อนจะได้รับของกลับไปอย่างแน่นอน
——————————————
หลังจอดรถเรียบร้อย ร่างผอมเกร็งของ “ภูคำ” ก็เปิดประตูลงมา
เด็กหนุ่มหันหน้าเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง เพื่อตรวจสอบสภาพรอบตัว เมื่อไม่พบความผิดปกติใดๆ ภูคำจึงเดินตรงไปยังกำแพงรั้วซึ่งก่อด้วยอิฐสูงเหนือศีรษะเล็กน้อย
เด็กหนุ่มซึ่งพูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาลาวมองซ้ายมองขวาเพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวรอบตัวอีกครั้ง จนกระทั่งแน่ใจว่าปลอดภัย ภูคำจึงเอื้อมมือไปกดรหัสตัวเลขบนแป้นสี่เหลี่ยมที่ติดอยู่บนกำแพงข้างประตูเล็ก
เมื่อดวงไฟสีเขียวสว่างขึ้นบอกให้รู้ว่าล็อคถูกปลดแล้ว สายข่าวภูคำจึงเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปตามถนนโรยกรวดซึ่งทอดยาวไปสู่ตัวบ้านโดยมีต้นไม้ใหญ่น้อยเรียงรายตลอดสองข้างทาง
ภูคำซึ่งเป็น “สายข่าว” ของเจ้าหน้าที่ในปฏิบัติการจับกุมไซยชนามาถึงที่หมายของเขาแล้ว!
——————————————
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นเป็นจังหวะตามรหัสที่ตกลงกันไว้ แวววาวในชุดพลเรือนจึงยิ้มออกมาได้ ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟากลางห้องรับแขกเดินไปเปิดประตูรับคนที่อยู่ด้านนอก
“สวัสดีภูคำ… ฉันดีใจที่นายมา”
“ขอโทษนะครับที่ทำให้คอย ที่มาช้าก็เพราะต้องเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของพวกนั้น”
เด็กหนุ่มพูดเหมือนแก้ตัวก่อนจะก้าวตามแวววาวเข้าไปในบ้าน
“นายถูกจับตางั้นหรือ”
ภูคำฝืนหัวเราะ
“ก็ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอกครับ เพียงแต่ระยะหลังขบวนการเข้มงวดเรื่องกิจวัตรประจำวัน ใครที่ทำอะไรนอกเหนือจากที่เคยทำจะถูกตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่โอ้เอ้ให้นายต้องพ้นจากสายตาของพวกนั้นนานเกินไปหรอก”
พูดจบแวววาวก็เข้าประเด็น
“ไหนล่ะ… ของที่จะส่งมอบ”
“นี่ครับ ผมก็อปปี้ไฟล์ข้อมูลทั้งหมดมาให้แล้ว”
ภูคำส่งทัมป์ไดร์ฟอันเล็กแต่ความจุมหาศาลให้แวววาว
“นอกจากจะมีข้อมูลที่ตั้งแหล่งพักยาแล้ว ยังมีคลิปตอนที่ไซยชนาเข้าไปตรวจดูของด้วยครับ”
“เยี่ยมมาก”
แวววาวยิ้มเล็กน้อยแล้วชี้มือ
“เงินของนายอยู่ในกระเป๋ารับไปได้เลย ครบตามจำนวนที่ตกลงกัน”
“ขอบคุณครับ”
ภูคำตอบด้วยน้ำเสียงแปร่ง ๆ แต่นายตำรวจสาวไม่ได้สนใจ เพราะกำลังเสียบแท่งบรรจุข้อมูลเข้าไปในโน้ตบุ๊คเพื่อตรวจสอบเบื้องต้น
ในเวลาเดียวกันทางด้านนอกของเซฟเฮ้าส์ รถตู้ติดฟิล์มสองคันแล่นเข้ามาจอดต่อท้ายรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่ของสายข่าวภูคำซึ่งมาถึงก่อนหน้า จากนั้นชายฉกรรจ์ที่อยู่บนรถกว่าสิบคนก็เปิดประตูกระโดดลงมา
ทุกคนมีอาวุธสงครามครบมือและบางคนมีโล่กันกระสุนอันใหญ่แบบเดียวกับที่หน่วยสวาทใช้ในการป้องกันอันตรายขณะจู่โจมเป้าหมาย
แม้จะไม่มีใครพูดอะไรออกมาแต่เมื่อชายร่างใหญ่ซึ่งเป็นหัวหน้าผงกหัวให้สัญญาณ เหล่าสมุนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในชุดดำก็ปราดเข้าไปประชิดกำแพงก่อนจะปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่อึดใจ ทั้งหมดก็ข้ามเข้าไปอยู่ในพื้นที่เป้าหมายอันเป็น “เซฟเฮ้าส์” ของนายตำรวจหญิงซึ่งกำลังง่วนอยู่หน้าจอ
เมื่อชายร่างใหญ่ชี้นิ้วไปทางซ้ายและทางขวา
สมุนทรชนที่จู่โจมเข้ามาจึงกระจายกำลังออกจากกันอย่างรวดเร็วเพื่อโอบล้อมบ้านสองชั้นหลังใหญ่ที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า
“โอเค เปิดไฟล์ได้แล้ว”
นายตำรวจสาวเปรยขึ้นโดยยังไม่รู้ว่ามีความเคลื่อนไหวบางอย่างทางด้านนอก
“ไหนมาดูกันซิว่า นายเอาอะไรมาได้บ้าง”
“ไฟล์แรกเป็นตำแหน่งที่ตั้งเซฟเฮ้าส์ของไซยชนาจำนวน 12 แห่ง ทั้งที่นี่และในบ้านเราครับ”
ภูคำตอบขณะที่จ้องมองหน้าจอ
“ไฟล์ที่สองเป็นรายชื่อเครือข่ายในขบวนการทั้งหมด มีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ แบ่งแยกตามหน้าที่ว่าใครเป็นหัวหน้าสายไหนบ้าง”
“ไซยชนาสร้างเกราะป้องกันไว้รัดกุมทีเดียว”
แวววาวพูดจากสิ่งที่เห็นขณะที่คลิกหน้าจอ
“ทุกอย่างตรงตามข้อมูลเบาะแสที่เราได้มาก่อนหน้านี้ว่าเจ้าพ่อรายนี้สร้างเครือข่ายอย่างเป็นระบบเพื่อใช้ฟอกเงินที่ได้จากการจัดหาและจำหน่ายยาเสพติด”
“ใช่ครับ”
สายข่าวย้ำคำพูดของนายตำรวจสาว
“ด้วยเกราะป้องกันตามที่ผู้หมวดพูด ไซยชนาถึงลอยนวลอยู่ได้ทั้งที่หลายชาติต้องการตัว”
“เท่าที่ฉันรู้มา ล่าสุดทางการจีนส่งสายลับเข้ามาใน สปป.ลาว เพื่อแกะรอยหาทางจับกุมไซยชนาหลังจากพ่อค้ายาเสพติดที่ชื่อหน่อคำโดนประหารไปแล้วจากคดีสังหารลูกเรือจีน 13 ศพ ในแม่น้ำโขงเมื่อปีที่แล้ว”
“งั้นก็แปลว่าเครือข่ายไซยชนาเชื่อมโยงกับการค้ายาเสพติดกับหน่อคำใช่มั้ยครับ”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เผลอๆ ไซยชนาอาจจะดีใจด้วยซ้ำที่หน่อคำตาย ทำให้หุ้นส่วนซึ่งจะต้องแบ่งรายได้จากธุรกิจมืดหายไปคนนึง”
“ไฟล์สุดท้ายสำคัญมากครับ”
ภูคำกลับมายังเรื่องที่อยู่ตรงหน้า
“ผู้หมวดเปิดดูสิครับ มันเป็นคลิปที่ได้มาจากวงจรปิดในโกดังพักยาเสพติดขณะที่ไซยชนาเข้าไปตรวจของด้วยตนเอง”
“วิเศษไปเลย คราวนี้มันคงดิ้นไม่หลุดแน่”
แวววาวยิ้มอย่างยินดีเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นั้น
“เพราะกฎหมายใหม่ที่ออกเมื่อปี 2533 ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่จัดการกับคนร้ายเหล่านี้ได้สะดวกขึ้น เพราะถึงแม้ผู้ต้องหาจะไม่ได้ถูกจับกุมขณะซื้อขายหรือครอบครองยาเสพติด แต่หากมีหลักฐานที่แสดงความเชื่อมโยงเกี่ยวพันอย่างชัดเจนก็สามารถดำเนินคดีได้”
“เราจะจับไซยชนาไปดำเนินคดีในฝั่งไทยหรือครับ”
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะพูดอะไรกันต่อ สัญญาณเตือนจากเซนเซอร์ตรวจจับที่วางไว้ตามจุดต่างๆ นอกบ้านก็ดังขึ้นอย่างกระทันหันและนั่นจึงทำให้พยัคฆ์สาวขมวดคิ้ว
“เซ็นเซอร์ร้องกันระงมแบบนี้ ถ้าจะไม่ดีเสียแล้ว!”
พูดจบ หล่อนก็ดึงทัมป์ไดร์ฟออกจากเครื่องแล้วเผ่นไปยังจอมอนิเตอร์ที่เชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดซึ่งติดไว้ภายนอกโดยไม่ชักช้า และในทันทีที่ภาพบนจอแสดงให้เห็นชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธหลายคนกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา นายตำรวจหญิงมือดีก็รู้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“เรามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญ คงเป็นสมุนของไซยชนาแน่ๆ”
“พวกมันมาพร้อมกับโล่กันกระสุน”
ภูคำเบิกตากว้างหลุดปากออกมาจากสิ่งที่เห็น
“ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ แสดงว่าไอ้พวกนั้นคือหน่วยพิเศษที่รับเงินสกปรกแน่ๆ”
โดยไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแม้แต่วินาทีเดียว แวววาวยัดแท่งเก็บข้อมูลอันเล็กไว้ในบราเซียด้านซ้ายของอกเสื้อแล้วกระชากปืนพกที่เหน็บไว้ออกมาจากเอววิ่งปราดไปยังช่องหน้าต่างเตรียมยิงปะทะกับฝ่ายตรงข้ามทันที
“ภูคำ… นายคงไม่ได้มามือเปล่าหรอกนะ”
“ผมพกปืนสั้นติดตัวมาด้วยครับ”
สายข่าวชาวไทยตอบพร้อมกับชักเขี้ยวเล็บออกมาอย่างว่องไว
“งั้นคอยสกัดด้านหลัง อย่าให้พวกมันเข้ามาได้ ส่วนด้านหน้าฉันจัดการเอง!”
แวววาวร้องบอกเร็วปรื๋อโดยไม่ได้หันไปดู เพราะรู้ว่าสายข่าวอย่างภูคำเป็นนักสู้คนหนึ่ง และเคยผ่านการปะทะมาบ้างแล้ว
“โอเคครับ”
“อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมพวกมันจมูกไวขนาดนี้”
พยัคฆ์สาวชาวไทยตั้งคำถามกับตนเองก่อนที่สายตาซึ่งจ้องผ่านช่องหน้าต่างจะมองเห็นศัตรูคนแรกก้าวผ่านบ่อน้ำเล็กๆ เข้ามา
ศูนย์เล็งของปืนสั้นบนมือจึงทาบเข้าใส่เป้าก่อนที่นายตำรวจหญิงจะเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนชนิดไม่ต้องให้ไอ้นั่นร้องขอ
ปัง! ปัง! ปัง!
ประกายไฟสว่างวาบที่ปากกระบอกพร้อมด้วยกัมปนาทปืนซึ่งลั่นก้องออกไป ยังผลให้ร่างในชุดดำซึ่งอยู่หน้าสุดและมีอาวุธอยู่บนมือหงายผงะหล่นตูมลงไปในน้ำ เมื่อโดนลูกตะกั่วทะลวงเข้าใส่สามนัดซ้อนๆ
แต่การยิงของหล่อนก็ไม่อาจยับยั้งการบุกไว้ได้ เพราะฝ่ายตรงข้ามกระจายกำลังกันโอบล้อมเป้าหมายอย่างมืออาชีพ ก่อนจะเปิดฉากยิงกระหน่ำคืนมาชนิดทันทีทันควัน
***********************************
อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป