◊ พยานปากเอก ◊
………..

“ซาหวัด… ดี.. ค้าบ”

“ครับ สวัสดี”

คนที่อยู่ในเครื่องแบบยกมือวันทยหัตถ์

“ที่นี่… โรงพักช่ายมั้ย”

“ใช่ครับ โรงพัก”

“ดีเลย… ผมจะได้เข้าพ้าก…”

ชายร่างอ้วนพูดเสียงอ้อแอ้

“ขอสักสองคืน… จะได้ไม่ต้องกลับบ้าน”

“ไม่ใช่ครับ คุณเข้าใจผิด”

                 สิบตำรวจตรียังใจเย็น

“โรงพักคือสถานีตำรวจ ไม่ใช่ที่พักของคนทั่วไปอย่างที่คุณเข้าใจ”

“แต่ผมอยาก… พ้าก… ไม่อยากกลับบ้าน”

“ท่าทางจะคุยกันไม่รู้เรื่องเสียแล้ว”

สิบเวรฯ ร่างเล็กโคลงศีรษะก่อนจะถามต่อ

“กินเหล้าป่าว”

“ผมกินมาแล้ว แม่โขงสุราของไทย”

พูดพลางยกมือไหว้

“ขอบคุณครับที่ชวน”

“ไม่ใช่… ไม่ได้ชวนกินเหล้า ผมถามว่ากินเหล้ามาหรือเปล่า”

“ก็บอกว่าโผมกินแล้ว… กินมาสองกลมกับหนึ่งแบน”

“แล้วชื่อไรเนี่ย… รู้จักตัวเองหรือเปล่า”

“โผ้ม…อ้วนค้าบ”

“รู้แล้วว่าอ้วน หุ่นตุ้ยนุ้ยยังงี้ไม่เรียกผอมหรอก”

สิบเวรฯ พยักหน้าหงึกๆ

“ผมถามว่าคุณชื่อไร ไม่ได้ถามว่าหุ่นแบบไหน”

                 “โผ้ม… อ้วน… ค้าบ”

อีกฝ่ายยกนิ้วจิ้มอกตัวเองขณะยืนโยกเยกราวกับแผ่นดินไหว

“อ้วน… อ้วน… อ้วน…”

“รู้แล้วว่าอ้วน แต่อยากรู้ชื่อ”

                 “ก็กูชื่ออ้วน… เข้าใจป่ะ”

แม้ทั้งภาพและเสียงที่ปรากอยู่บนจอทีวีตรงหน้า แต่ “มาณพ” อดีตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยป่าไม้ซึ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงานได้เพียงสามปี กลับยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่ได้รู้สึกขบขันและส่งเสียงหัวเราะออกมาแต่อย่างใด

เพราะสิ่งที่วนเวียนอยู่ในสมองของชายหนุ่มร่างสันทัดยังคงเป็นเรื่องราวที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมและมีชื่อของตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างชัดเจนในฐานะ “พยาน” ผู้ให้การในคดีที่ถูกขนานนามว่า “ปริศนาป่าต้นน้ำ”

มาณพไม่เคยลืมว่าเมื่อตอนที่เป็นนักศึกษาปีสุดท้ายซึ่งจะต้องมีการ “ฝึกงาน” กับหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่พิทักษ์ป่าอันถือเป็นวิชาสุดท้ายที่นักศึกษาจะต้องออกปฏิบัติงานภาคสนามในพื้นที่ป่าของจังหวัดต่างๆ

นักศึกษามาณพจึงเลือกป่าในจังหวัดภาคตะวันตกจังหวัดหนึ่งซึ่งมีอาณาเขตติดกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้านด้วยเหตุที่มันเป็นบ้านเกิดของเขาและเป็นป่าที่ได้ชื่อว่าอุดมสมบูรณ์มากที่สุด

ตลอดระยะเวลาสามเดือนของการฝึกงาน มาณพได้เรียนรู้วิถีชีวิตของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าได้พบกับชนกลุ่มน้อยที่ตั้งรกรากสร้างหมู่บ้านและอาศัยบริเวณตะเข็บแนวชายแดนเป็นที่ทำกินอย่างสงบสุขมาช้านาน

ตอนแรกมาณพคิดว่าภาพที่เห็นสะท้อนมาจากความเป็นไปที่แท้จริง แต่แล้วในช่วงท้ายก่อนที่การฝึกงานจะสิ้นสุดลงตามกำหนด

นักศึกษาป่าไม้เจ้าของร่างสูงโปร่งผู้มีอัธยาศัยดีกลับพบว่า “โลกไม่ได้สวย” อย่างที่คิด

เพราะภายใต้ผืนป่าอันเขียวชอุ่ม ความขัดแย้งอันเกิดจากข้อกฎหมายเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในการครอบครองที่ดินได้ก่อตัวขึ้นและดำเนินมาอย่างยาวนาน

เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าซึ่งเป็นคนของรัฐได้ยึดถือกฎหมายอย่างเข้มงวด ทำให้ชนกลุ่มน้อยซึ่งในความเป็นจริงคือ “คนไทยชายขอบ” กลายเป็นผู้บุกรุก ขณะที่ชาติพันธุ์เหล่านั้นต่อสู้ว่าพวกตนตั้งรกรากอยู่ในบริเวณดังกล่าวมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ

แน่นอนว่าความขัดแย้งย่อมนำไปสู่การเผชิญหน้า โดยเฉพาะระหว่างหัวหน้าเจ้าหน้าที่กับ “ผู้นำ” ชุมชนซึ่งผ่านการศึกษาจากในเมืองก่อนจะกลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิดและแสดงบทบาทในฐานะแกนนำผู้เรียกร้องความเป็นธรรม โดยส่งเสียงให้ภาครัฐได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ผืนป่าแห่งนี้และผู้ที่ใช้อำนาจบุกรุกและพยายามครอบครองกรรมสิทธิ์คือใครกันแน่ระหว่างคนไทยชายขอบกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

ถึงตอนนั้นนักศึกษามาณพก็ได้รู้จักหน้าค่าตาของแกนนำคนไทยชายขอบที่ชื่อ “มาคลี” เช่นเดียวกับคนไทยทั้งประเทศซึ่งรับรู้ข่าวสารจากสื่อมวลชนทุกแขนงเมื่อ “มาคลี” เดินทางเข้ามายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ยังผลให้เกิดการสอบสวนเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง

แต่แล้วเพียงสองสัปดาห์หลังเป็นข่าวครึกโครมและเป็นวันเดียวกับที่มีการจัดเลี้ยงอำลาให้แก่นักศึกษาฝึกงาน

ภรรยาของมาคลีก็เดินทางมายังสำนักงานพิทักษ์ป่าเพื่อแจ้งกับ “หัวหน้าใหญ่” ว่าสามีของเธอหายตัวไปหลังการติดต่อกันครั้งสุดท้ายทางโทรศัพท์ ซึ่งมาคลีบอกกับเธอว่าถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว

“ปล่อยไปแล้วนี่”

มาณพจำได้ว่านั่นคือคำตอบของหัวหน้าใหญ่

“ลูกน้องของฉันปล่อยผัวของเธอกลับบ้านเมื่อตอนห้าโมงเย็น… มันคงไปไถลที่ไหนกระมัง”

มาณพคิดว่าเรื่องจะจบลงแค่นั้นเพราะหญิงสาวชาวบ้านภรรยาของมาคลีกลับออกไปด้วยสีหน้าผิดหวังโดยไม่ได้ร้องขออ้อนวอนใดๆ

แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ NGOs เข้ามาในพื้นที่และได้พูดคุยกับภรรยาของมาคลี การหายตัวของแกนนำชาวบ้านก็กลายเป็น “คดีดัง” เมื่อมีการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้หน่วยพิทักษ์ป่าพร้อมด้วยหัวหน้าใหญ่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ารู้เห็นกับการหายตัวไปของมาคลีซึ่งผู้เป็นภรรยาเชื่อถูกสังหารไปแล้ว

“ไอ้น้อง… ช่วยพี่หน่อย”

มาณพได้ยินประโยคนั้นในวันสุดท้ายซึ่งเขากำลังเก็บของเตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯ

“มีคนไปแจ้งความหาว่าพี่กับลูกน้องอุ้มนายมาคลี ทั้งที่ไม่เป็นความจริง”

หัวหน้าใหญ่พูดเรียบๆ แต่สีหน้าจริงจัง

“พี่อยากให้น้องช่วยให้การเป็นพยานหน่อยว่าเราปล่อยตัวไอ้นั่นไปแล้วที่จุดตรวจหนองน้ำแห้ง”

“เอ่อ… คือว่า… ผมไม่เคยไปโรงพัก”

“เฮ่ย… ไม่เป็นไร”

หัวหน้าใหญ่พูดง่ายๆ

“เรื่องนี้ไม่ยาก… เดี๋ยวพี่จะเขียนบทให้ว่าน้องต้องพูดอะไร ยืนยันว่าเห็นอะไรในวันเกิดเหตุ เสร็จแล้วก็ลงชื่อรับรองในคำให้การ”

“แต่ว่า… ผม”

“ไม่มีปัญหาใช่มั้ย”

“ตามนี้นะ… เดี๋ยวเราไปโรงพักด้วยกัน”

ด้วยสภาพเหมือนไม่มีทางเลี่ยง มาณพจึงจำใจต้องรับบท “พยาน” ให้กับหน่วยพิทักษ์ป่าซึ่งมีคดีความกับภรรยาของคนไทยชายขอบ โดยที่ไม่คาดคิดเลยว่าคำให้การของพยานที่เป็นนักศึกษาอย่างตนเองจะทำให้ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาพ้นจากการถูกดำเนินคดีตามต้องการ

“การที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้ เป็นเพราะฝ่ายโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่านายมาคลีเสียชีวิตแล้ว”

โฆษกสำนักงานอัยการออกมาแถลงกับสื่อมวลชน

“นอกจากนี้ยังมีประจักษ์พยานสำคัญคือนายมาณพนักศึกษาฝึกงาน ซึ่งให้การยืนยันว่าหน่วยพิทักษ์ป่าได้ปล่อยตัวนายมาคลีที่จุดตรวจหนองน้ำแห้ง อัยการเชื่อในพยานปากนี้เพราะนักศึกษาฝึกงานไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับกรณีพิพาท อีกทั้งไม่มีเหตุโกรธเคืองกับผู้ใดจึงเชื่อได้ว่าพยานให้การตามสัตย์จริง…”

“…จึงเชื่อได้ว่าพยานให้การตามสัตย์จริง…”

“…จึงเชื่อได้ว่าพยานให้การตามสัตย์จริง…”

ประโยคนั้นวนเวียนอยู่ในสมองของมาณพโดยไม่อาจลบเลือนไปได้ อดีตนักศึกษาป่าไม้พยายามปลอบใจตัวเองด้วยการยกเหตุผลแบบเข้าข้างมาอ้างกับตัวเองว่า

“ไม่เป็นไร… ก็แค่คนหายคนหนึ่ง ไม่ได้มีใครตายสักหน่อย”

แล้วเรื่องก็ดูเหมือนจะเงียบหายไปจากวันเป็นเดือนเป็นปี และมาณพก็พยายามที่จะไม่คิดถึงมันจนกระทั่งเรื่องมาคลีหายตัวกลับมาเป็นข่าวครึกโครมอีกครั้ง

“กรมปฏิบัติการพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนในเรื่องนี้อย่างเงียบๆ มาหลายเดือนหลังจากที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนนำตัวภรรยาของนายมาคลีมาร้องขอความเป็นธรรม”

โฆษกประจำกรมออกมาแถลงความคืบหน้ากับสื่อมวลชนทุกสำนัก

“ทีมสืบสวนค้นพบซากถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร จมอยู่ในบึงใกล้จุดตรวจหนองน้ำแห้ง โดยมีชิ้นส่วนกระดูกที่ถูกเผาไฟอยู่ในถัง

“ยิ่งไปกว่านั้นจากการตรวจสอบ DNA ของกระดูกกับ DNA ของมารดานายมาคลี เรายังพบว่าเป็นกระดูกของนายมาคลีซึ่งหน่วยพิทักษ์ป่าอ้างว่าปล่อยตัวไปแล้วแต่หายสาบสูญโดยไม่ทราบสาเหตุ ด้วยเหตุนี้เราจึงสรุปได้ว่านายมาคลีเสียชีวิตแล้วอย่างแน่นอน!”

นายมาคลีเสียชีวิตแล้วอย่างแน่นอน… ถ้อยคำนี้ไม่ต่างอะไรกับคมมีดที่กรีดลงไปหัวใจของอดีตนักศึกษาหนุ่ม

                 นี่เรามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่ตายไปโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ… ใครฆ่าชาวบ้านคนนั้น… ทำไมหน่วยพิทักษ์ป่าต้องให้เราพูดในสิ่งที่เราไม่ได้เห็น…?

มาณพเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อมีเจ้าหน้าที่ของกรมปฏิบัติการคดีพิเศษมาพบเพื่อตั้งคำถามที่เหมือนกับการจี้ใจดำของผู้ที่อยู่ในฐานะพยานปากเอก

“คุณยืนยันแน่นะว่าเห็นการปล่อยตัวนายมาคลีที่จุดตรวจอย่างที่เคยให้การไว้”

“เอ่อ… คือว่าผม…”

“ตอนที่ปล่อยตัวมาคลี คุณไปทำอะไรอยู่กับเจ้าหน้าที่ตรงนั้น”

“ผม… ผม… คือว่า…”

“เจ้าหน้าที่มีใครบ้าง… หัวหน้าหน่วยอยู่ด้วยหรือเปล่า”

“ผมไม่เห็นการปล่อยตัวครับ”

มาณพโพล่งออกมา

“ผมให้การไปตามที่เขาหว่านล้อม… ผมไม่ได้อยู่ที่จุดตรวจ”

อดีตนักศึกษาตัดสินใจเด็ดขาด

“ผมอยู่ที่สำนักงานในวันเกิดเหตุครับ ผมขอให้การใหม่อีกครั้งได้มั้ยครับ”

“นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องการ”

ฝ่ายสืบสวนจากกรมปฏิบัติการคดีพิเศษยิ้มอย่างพอใจ

“ถ้าคุณยืนยันที่จะกลับคำให้การ เราก็จะยื่นคัดค้านการสั่งไม่ฟ้องของอัยการเพื่อหาความจริงว่าใครฆ่านายมาคลี”

หลังข่าวการกลับคำให้การของมาณพเผยแพร่ออกไปทางสื่อมวลชน มาณพก็เก็บตัวเงียบขณะที่ความวิตกกังวลก่อตัวขึ้น

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย… แต่คนพูดความจริงอาจจะตาย

อดีตนักศึกษาหนุ่มหวนนึกถึงคำกล่าวนี้ เขาได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าคนดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครอง เขากำลังทำความดีเพื่อพิสูจน์ความจริงให้กับผู้ที่เรียกร้องความเป็นธรรม

“เราไม่รู้ว่าใครทำให้มาคลีตาย.. แต่ทุกอย่างควรไปพิสูจน์กันในศาล”

มาณพบอกกับตัวเองเช่นนั้นก่อนที่คิดคำนึงของเขาจะกระจายหายไปเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง

“ใครครับ”

“เจ้าหน้าที่กรมปฏิบัติการคดีพิเศษครับ”

ประโยคที่ตอบกลับมาทำให้มาณพเดินไปเปิดประตู

“เชิญครับ… เอ๊ะ…!”

“กลับเข้าไปในห้อง!”

เสียงสำทับเข้มๆ มาพร้อมกับปากกระบอกปืนที่ทิ่มเข้าใส่ท้องของมาณพ

                 “เร็วเข้า! ไม่งั้นกูยิง!”

หัวใจของมาณพเต้นรัวด้วยความหวาดกลัวขณะที่ปฏิบัติตามคำสั่ง

“คุณ… คุณเป็นใคร”

“ไม่สำคัญว่าฉันจะเป็นใคร เพราะที่สำคัญก็คือแกต้องทำตามที่ฉันสั่ง”

“จะให้ผมทำอะไร… ผมกลัวแล้วครับ”

“ไปที่หน้าต่าง”

มาณพหน้าซีดเริ่มเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“ผมยอมแล้ว… อย่ายิงนะครับ”

“กูไม่ยิงหรอก”

บุรุษนิรนามคำราม

“แต่มึงจะต้องปีนหน้าต่างแล้วกระโดดลงไปข้างล่าง”

“ห้องนี้อยู่บนชั้น 10 ถ้ากระโดดก็ไม่รอดสิครับ… กรุณาผมเถอะ!”

“เลือกเอาว่าอยากจะถูกยิงหรือจะกระโดดลงไป”

เพชฆาตรับจ้างยกอาวุธขึ้นจ่อ

“ปืนกระบอกนี้ติดท่อเก็บเสียง กูจะยิงทีละนัดตั้งแต่ล่างขึ้นไปหาบน.. มึงจะทรมานยิ่งกว่ากระโดดตึกหลายเท่า!”

มาณพตัวสั่นงันงกเมื่อความหวาดกลัวสุดขีดพุ่งขึ้นสู่สมอง

สิ่งสุดท้ายที่เขาบอกกับตัวเองก็คือไม่น่าเชื่อคำแนะนำของ “ผู้ใหญ่” ที่รู้จักกับบิดาซึ่งแนะนำให้มาเก็บตัวเงียบอยู่ใน “พื้นที่ทหารเรือ” เพื่อความปลอดภัยก่อนถึงวันให้ปากคำในชั้นศาล

“แค่นี้แหละ ไม่เห็นจะยากตรงไหน”

วายร้ายที่มีปืนอยู่บนมือแสยะยิ้มเมื่อมาณพขึ้นไปอยู่บนขอบหน้าต่าง

“พอมึงกระโดดลงไปทุกอย่างก็จบ… พยานฆ่าตัวตายเพราะเครียดที่ต้องกลับคำให้การ!”

ทั้งที่เห็นอยู่กับตาว่าเหยื่อสังหารที่อยู่ห่างออกไปแค่เอื้อมกำลังจะพบจุดจบ แต่แล้วในวินาทีนั้นทุกอย่างกลับพลิกผันไปอย่างเหลือเชื่อ

เพราะในพริบตาอันแสนสั้น ร่างของมาณพก็หงายผลึ่งกระเด็นกลับด้วยแรงถีบของใครบางคนที่โหนเชือกเข้ามาจากด้านนอกราวกับคนเหาะ ยังผลให้พยานที่ถูกสั่งตายปลิวเข้าปะทะกับคนที่จ่อปืนเข้าใส่จนล้มโครมลงไปด้วยกันอย่างช่วยไม่ได้

และในวินาทีอันต่อเนื่องก่อนที่ทั้งสองคนที่ล้มโครมลงไปจะจับต้นชนปลายได้ถูกว่าอะไรเป็นอะไร ร่างที่ลอยละลิ่วเข้ามาก็ปล่อยมือจากเชือกเมื่อหล่นลงมาจังก้าเหยียบพื้นห่างจากปรปักษ์ที่มีปืนเพียงวาเดียว

                 “มึง…!”

เพชฆาตรับจ้างอุทานออกมาอย่างเดือดดาลขณะที่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นพร้อมอาวุธบนมือ

                 “ตายโหงไปเถอะ!”

ขาดคำมันก็ตวัดปืนเข้าหาหมายจะเหนี่ยวไกสังหารคนที่เข้ามาขวางแผนจัดฉากฆ่าพยานให้แดดิ้น

แต่อีกฝ่ายตีนไวกว่า

บาทาติดจรวดของพยัคฆ์มหากาฬจึงดีดผึงเข้าใส่แบบเตะเสยโดยมีปลายลำกล้องเก็บเสียงเป็นเป้า

                 ผัวะ!

                 ปั่บ!

เสียงเหมือนเปิดจุกแชมเปญดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงที่เกิดจากแรงเตะขณะที่วิถีกระสุนพุ่งขึ้นสู่เพดานห้องและก่อนที่นัดที่สองจะลั่นออกมาคนเตะก็เหวี่ยงตีนอีกข้างตามมาอย่างว่องไว

                 ผัวะ!

แรงปะทะทำให้ปืนทั้งกระบอกปลิวหลุดและร่างของคนเตะซึ่งหมุนลิ่วเป็นวงก็เหวี่ยงขาหลังในจังหวะอันต่อเนื่อง ยังผลให้แม่ไม้จระเข้ฟาดหางที่ฝรั่งรู้จักกันในนาม “แบ็คคิก” อัดเข้าใส่ยอดอกของคู่ต่อสู้อย่างเหมาะเหม็ง

                 บึ้ก!

เสียงสนั่นหูบังเกิดขึ้นในวินาทีที่ร่างของคนที่โดนเข้าไปอุทานออกมาคำหนึ่ง ขณะที่เซถลาออกไปก้นจ้ำเบ้าอย่างคาดไม่ถึง

“ที่นี่เป็นเขตทหารเรือซึ่งฉันรับผิดชอบอยู่”

อัศวินม้าขาวที่เข้ามาช่วยชีวิตพยานปากเอกเอ่ยออกมาเป็นประโยคแรก

“นักฆ่าอย่างแกอย่าได้คิดที่จะเก็บใครง่ายๆ เป็นอันขาด”

“มึง… มึงเป็นใคร”

“ฉันน่ะหรือ…”

คนที่ถูกถามหัวเราะเสียงเข้ม

“ฉันคือนาวาโทคมจักรที่ใครๆ ให้ฉายาว่าพยัคฆ์มหากาฬไงล่ะ”

ขาดคำ คมจักรก็ทะยานเข้าใส่เกือบจะพร้อมๆ กับที่เพชฌฆาตรับจ้างทะลึ่งพรวดขึ้นมาสู้ราวกับหมาจนตรอก

แข้งขวาของมันเหวี่ยงตูมเข้าใส่คมจักรจนสะท้านไปทั้งร่างก่อนที่กำปั้นทั้งซ้ายขวาจะปลิวตามมาเป็นพายุจนคมจักรซวนเซด้วยแรงอัดทั้งที่ปิดป้องไว้อย่างรัดกุม

“เสร็จกูละ!”

นักฆ่านิรนามคำรามอย่างย่ามใจพร้อมกับตามติดเข้ารัวหมัดแบบกัดไม่ปล่อย

แต่แล้วในฉับพลันที่ศัตรูย่ามใจกระโจนเข้ามาพร้อมด้วยกำปั้นที่ง้างมาแต่ไกล

ยอดพยัคฆ์คมจักรก็หมุนตัวขวับพร้อมกับเหวี่ยงแขนกระชากศอกกลับอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

                 ผัวะ!

มีเสียงดังถนัดหูเมื่ออาวุธร้ายตามแบบแม่ไม้มวยไทยปักเข้าที่ปากครึ่งจมูกครึ่งจนอีกฝ่ายเลือดกระจายหงายผงะเซถลาลงไปชนโต๊ะกลมแล้วล้มคว่ำลงไปเป็นครั้งที่สอง

“ลุกขึ้น… ไอ้วายร้าย”

คมจักรยิ้มเกรียมๆ ออกมาอย่างมันเขี้ยว

“อย่าเพิ่งใจเสาะยกธงขาวไปง่าย… นี่เพิ่งครึ่งยกเท่านั้น”

“มึงเก่งนักใช่มั้ย”

นักฆ่ารับจ้างคำรามขณะที่ผุดลุกขึ้นแล้วกระชากอาวุธขาววับออกมาจากเอว

                 “ระวังครับ!”

มาณพเหยื่อสังหารร้องเสียงหลง

                 “คนร้ายมีมีด!”

“ฉันเห็นแล้ว ไม่ต้องห่วง”

คมจักรร้องบอก

“มีดสั้นขี้ปะติ๋วแบบนี้ฉันเจอมานักต่อนักแล้ว!”

แล้วฉากการต่อสู้ที่มีความเป็นความตายเดิมพันก็อุบัติขึ้นในวินาทีนั้นเมื่อนักฆ่ารับจ้างแผดเสียงข่มขวัญพร้อมกับกระโจนสุดตัวเสือกแขนขวาพรวดออกมาแบบแทงสุดเหยียดหมายทะลวงยอดอกของปรปักษ์ให้มิดด้าม

แต่ร่างอันปราดเปรียวซึ่งเป็นเป้าหมายเอี้ยวหลบได้อย่างว่องไวพร้อม ๆ กับที่มือซ้ายตะครุบหมับลงบนข้อมือข้างที่ติดอาวุธแล้วกระชากอย่างแรงขณะที่ตีนซ้ายเหวียงฉับในท่าเตะตัดเพื่อทำลายฐานล่างในจังหวะเดียวกัน

ผลก็คือฝ่ายที่โถมเข้ามาสุดกำลังมีอันหน้าคะมำหัวทิ่มตีลังกาเป็นกังหันก่อนจะหล่นลงไปฟาดพื้นโครมสนั่น

โดยไม่ปล่อยให้นาทีทองหลุดลอยไป พยัคฆ์หนุ่มกระโจนลิ่วเข้าใส่ปรปักษ์ซึ่งกำลังมะงุมมะงาหราอยู่บนพื้น กระทืบโครมลงไปบนหลังมือข้างที่พยายามจะเอื้อมไปคว้ามีดปลายแหลมที่กระเด็นหลุดกลับมาเป็นอาวุธจนคนที่โดนเข้าไปร้องอุทานเสียงลั่นรู้สึกเหมือนนิ้วทั้งห้าถูกฟาดลงมาด้วยค้อน

แต่นั่นก็ยังไม่บรรลัยเท่ากับสิ่งที่ตามมาในพริบตาอันต่อเนื่องซึ่งก็คือบาทาระเบิดคางของคมจักรที่ปลิวเข้าใส่ในท่าเตะแบบเสยขึ้นชนิดหมดโอกาสป้องกัน

                 ผัวะ!

ทีเดียวเท่านั้น วายร้ายนักฆ่าที่หาความเป็นคนดีไม่ได้ก็มีอันสะบัดเริดชนิดแทบจะหลุดกระเด็นไปตามแรงตีนพร้อมๆ กับที่โลกทั้งใบถล่มจมมิด สติและการรับรู้ทั้งปวงดับวูบไปในบัดดล

“ปลอดภัยแล้ว มาณพ”

คมจักรเป่าลมออกจากปากขณะที่หันไปยังอดีตนักศึกษา

“ทีนี้นายก็ไปให้การได้ตามความเป็นจริง ส่วนไอ้เวรนี่ก็ต้องไปโรงพักให้ตำรวจสอบสวนว่าใครจ้างมันมา”

“ขอบคุณครับที่มาช่วยผม”

“เรื่องเล็กน่า นายอุตส่าห์มาเก็บตัวในเขตทหารเรือทั้งที่ถ้าเป็นอันตรายก็เสียชื่อแย่”

“แล้วพี่รู้ได้ยังไงครับว่ามีคนร้ายบุกเข้ามา”

อดีตนักศึกษาย้อนถาม

“ห้องนี้มีสปายแคมติดไว้หลายตัว ฉะนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่มีวันรอดสายตาพี่ไปได้”

พูดจบ คมจักรก็หยิบสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋าแล้วกดเบอร์เพื่อแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้

***********************************


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่