◊ ทลายแก๊งข้ามชาติ ◊
………..

กาแฟในถ้วยที่ธงอินทร์ถืออยู่ยังมีควันกรุ่นขณะที่นาวาโทหนุ่มได้รับโทรศัพท์จากนาวาเอกนายแพทย์มโนเป็นสายแรกของเช้าวันต่อมา

“อรุณสวัสดิ์ครับผู้พัน”

“หวังว่าคงโทรมาหาผมพร้อมด้วยข่าวดีนะครับ”

“แน่นอน… ประมาณว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่เลยทีเดียว”

น้ำเสียงนั้นไม่ต่างอะไรกับนักกรีฑาที่เพิ่งวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง

“พนันเลยว่าผู้กองต้องไม่เชื่อเรื่องที่จะได้ยินจากผมแน่ๆ นี่มันเหมือนกับแจ็กพ็อตแตกตอนเราโยกสล็อตแมชชีนไม่มีผิด”

“หมออย่ามัวแต่ไหว้ครู… ชกได้แล้ว”

“ดวงตาเจ้าของรูปที่ผู้กองให้ผมมาเมื่อวานเข้ากันได้ดีกับดวงตาลึกลับที่เราได้รับก่อนหน้า”

“หมายความว่าไงครับ”

ธงอินทร์หูผึ่ง

“ผมลองสแกนภาพดวงตาลึกลับแล้วนำขึ้นจอเปรียบเทียบกับภาพสแกนดวงตาของผู้หญิงในรูป…”

นายแพทย์นิติเวชมือหนึ่งของกองทัพเรือเริ่มต้นอธิบาย

“ผลที่ได้ก็คือเห็นได้ชัดว่ามันเป็นดวงตาคู่เดียวกัน โดยเฉพาะตอนที่เราทำภาพเชิงซ้อน”

“หมอแน่ใจได้ยังว่าเป็นเธอ”

“เพราะม่านตาของมนุษย์แต่ละคนจะมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว แม่นยำกว่าการตรวจดีเอ็นเอด้วยซ้ำ”

นายแพทย์มโนพูดตามหลักวิชา

“ถึงแม้ภาพที่เราได้มาเมื่อขยายแล้วจะเป็นเม็ดหยาบๆ มุมของภาพก็ไม่ดี แต่ในทางทฤษฎีแล้วมันเป็นดวงตาคู่เดียวกัน”

“ตกลงว่าดวงตาของคนในรูปกับดวงตาที่เราได้มาเป็นอวัยวะชิ้นเดียวกันใช่ไหมครับ”

ธงอินทร์ถามย้ำอีกครั้ง

“ในฐานะแพทย์นิติเวช ผมยืนยันว่าตรงกัน 100 เปอร์เซ็นต์ ครับ”

น้ำเสียงที่ตอบหนักแน่น

“น่าสงสารที่คนสวยๆ อย่างผู้หญิงคนนี้ต้องมาถูกควักดวงตาทั้งที่ไม่เต็มใจ”

“ขอบคุณมากครับ”

ธงอินทร์พูดจากใจจริง

“ผมไม่มีความรู้ในด้านกายวิภาค แต่ก็เชื่อในการวิเคราะห์ของหมอ 100 เปอร์เซ็นต์เหมือนกันครับ”

“วันนี้ผู้พันไปสืบคดีที่ไหนหรือเปล่า ถ้าว่าง ผมอยากให้เข้ามาดูภาพเชิงซ้อนด้วยตัวเองในโอกาสแรก”

“ถึงหมอไม่บอกผมก็ต้องไปดูอยู่แล้วครับ”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ธงอินทร์พูดกับนาวาเอกนายแพทย์ทางโทรศัพท์ ก่อนที่เขาจะขับรถออกจากที่พักอย่างกระตือรือร้น

แม้จะยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าของดวงตานิรนามว่าหล่อนเป็นใคร แต่ธงอินทร์ก็อดไม่ได้ที่จะส่งใจไปถึงอีกฝ่ายที่อยู่กันคนละโลก

“ไม่ต้องกังวลนะครับ”

ธงอินทร์พึมพำกับตนเอง

“ผมกำลังช่วยเต็มที่เพื่อจับคนที่ฆ่าคุณมาลงโทษให้ได้”

ราวกับว่าวิญญาณมีจริงและหญิงสาวเคราะห์ร้ายรับรู้ในความตั้งใจของยอดพยัคฆ์ธงอินทร์ เพราะไม่กี่อึดใจต่อมาสมาร์ทโฟนของธงอินทร์ก็มีเสียงเรียกเข้าอีกครั้ง

“ผู้พันอยู่ไหนครับ”

คนที่ถามมาคือเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที

“ผมกำลังจะเข้าที่ทำงาน มีอะไรครับ”

“งั้นรีบมาเจอกันที่ห้องคอมฯ เลยนะครับ เพราะผมเจอภาพผู้ชายที่ผู้พันให้มาในโน้ตบุ๊คแล้ว”

“วิเศษจริง”

ธงอินทร์ยิ้มอย่างดีใจ

“เบื้องต้นพอจะบอกได้มั้ยว่าเป็นภาพอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่”

“ภาพเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองครับ”

อีกฝ่ายตอบมาทันที

“ถ่ายในตลาดเนื้อเก้งเอ๋ง ด้านหลังมีภาษาเวียดนามติดอยู่ที่กำแพง แต่ผมแปลไม่ออกซึ่งถ้าดูจากรูปแล้วสรุปได้ว่ามีการเดินทางไปเวียดนาม”

“คนในรูปกำลังทำอะไรหรือ”

ธงอินทร์ถาม

“ทำท่าชูนิ้วกดไลค์อยู่หน้าราวแขวนสุนัขย่างครับ”

น้ำเสียงนั้นอเนจอนาถใจ

“แต่ที่ผู้พันต้องนึกไม่ถึงก็คือสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันในรูปคือจ่าเจ้าของโน้ตบุ๊คกับอาจารย์ของเขา”

“งั้นผมบอกได้เลยว่ารูปนั้นถ่ายที่เมืองเบาได๋!”

ธงอินทร์ฟันธง

————————————-

คมจักรก้าวเท้าอย่างเร็วตรงไปยังห้องทำงานของพลเรือเอกสุรจิตร เมื่อรู้แล้วว่าธงอินทร์กำลังนั่งรออยู่เพื่อชี้แจงข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดี “ดวงตาปริศนา” และการฆ่าตัวตายของจ่าเอกสองเพศให้นายพลเรืออาวุโสได้ทราบ

ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าในทันทีที่คมจักรผลักประตูเข้าไปก่อนจะชิดเท้าตรงพร้อมกับก้มศีรษะทำความเคารพตามระเบียบ

“นั่งสิ… คมจักร”

“ขอบพระคุณครับ”

“ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มกันเลย”

พลเรือเอกสุรจิตรหันไปพยักหน้าให้ธงอินทร์

“จากการประมวลหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้ ดอกเตอร์สิทธิชัยกับจ่าเอกบรรลือศักดิ์ลูกศิษย์ของเขาเกี่ยวข้องกับหญิงสาวนิรนามที่ถูกควักดวงตาออกมาก่อนจะถูกสังหาร”

ธงอินทร์กล่าวอย่างเป็นงานเป็นการ

“มีความเป็นไปได้ว่าจ่าเอกบรรลือศักดิ์ฆ่าตัวตายเพราะถูกกดดันจากเรื่องอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกับดวงตาของหญิงสาวนิรนามที่ส่งมาจากเมืองเบาได๋ประเทศเวียดนาม”

“เราเคยส่งจ่าคนนี้ไปทำงานที่เวียดนามใช่มั้ย”

นายพลเรืออาวุโสถาม

“ใช่ครับ เขาได้รับมอบหมายให้ติดตามข่าวกรองในหลายเรื่องทั้งการค้าอาวุธสงคราม ยาเสพติด ค้ามนุษย์”

ธงอินทร์ตอบตามตรง

“แต่ที่เป็นหลักฐานสำคัญก็คือภาพถ่ายที่บรรลือศักดิ์ถ่ายกับดอกเตอร์สิทธิชัยอาจารย์ของเขา ซึ่งตรวจสอบแล้วเป็นการถ่ายภาพที่ตลาดค้าสุนัขในเมืองเบาได๋”

“งั้นก็เท่ากับว่าดอกเตอร์สิทธิชัยอาจารย์สอนวิชาสายลับคือกุญแจดอกสุดท้ายที่จะไปสู่คำตอบของดวงตาปริศนาที่เราได้มา”

“ใช่ครับ”

ธงอินทร์ตอบก่อนที่คมจักรจะเสริมขึ้น

“และที่สำคัญกว่านั้นก็คือดอกเตอร์สิทธิชัยกำลังจะเดินทางไปเวียดนามวันมะรืนนี้ครับ ผมเพิ่งแฮ็คเข้าไปในอีเมลของเขาและเจอการตอบรับการจองบัตรโดยสารไปเมืองเบาได๋จากศูนย์บริการลูกค้าของสายการบินแอร์เอเชีย”

“ข้อมูลล่าสุดใช่มั้ย”

“สดๆ ร้อนๆ ก่อนที่ผมจะถูกเรียกตัวมาที่นี่ไม่ถึงสิบนาทีครับ”

“ถ้างั้นเห็นทีว่าคุณสองคนคงจะต้องบินด่วนไปเยือนเวียดนามเสียแล้วซิ”

นายพลเรืออาวุโสบอกกับคนทั้งสอง

————————————-

บรรยากาศภายในอาคารผู้โดยสารขาเข้าสนามบินเมืองเบาได๋ ประเทศเวียดนาม ไม่พลุกพล่านมากนัก ขณะที่ร่างสันทัดในเครื่องแต่งกายชุดสากล ดอกเตอร์สิทธิชัยเดินปะปนมากับผู้โดยสารในเที่ยวบินเดียวกันทั้งหญิงและชาย

อดีตเจ้าหน้าที่กลาโหมนอกราชการซึ่งกลายมาเป็น “อาจารย์พิเศษ” วิชาข่าวกรองของศูนย์ฝึกอบรมด้านความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ได้สังเกตเลยว่าบริเวณเคาน์เตอร์บริการห่างไปจากประตูทางออกของอาคารไม่มากนัก คนไทยสองคนอันได้แก่ธงอินทร์และคมจักรที่เดินทางมาถึงเมืองเดียวกันก่อนหน้าเพียง 12 ชั่วโมง กำลังซุ่มสังเกตรออยู่เงียบๆ

“นั่นไง… เขาออกมาแล้ว”

ธงอินทร์พูดเบาๆ ขณะที่สายตาจ้องมองไปยังเป้าหมาย

“ท่าทางของเขาเหมือนกับไม่ได้นัดให้ใครมารอรับ”

“ฉันก็คิดอย่างนั้น”

คมจักรพยักหน้า

“เพราะเขาลากกระเป๋าไปที่ประตูทางออกแล้ว เรารีบตามไปดีกว่า จะได้ไม่พลาด”

จากอาคารสนามบิน ดอกเตอร์อดีตเจ้าหน้าที่สังกัดกลาโหมจากเมืองไทยเรียกแท็กซี่ไปยังจุดหมายปลายทางโดยไม่รู้ว่าจักรยานยนต์แบบบิ๊กไบค์คันหนึ่งกำลังแล่นตามมาในระยะที่ห่างออกไปไม่มากนัก

“หวังว่าเราคงพูดกับมันรู้เรื่อง”

ดอกเตอร์สิทธิชัยคิดในใจ

“ไอ้บ้านั่นก็ฆ่าตัวตายไปแล้ว คนจะทำงานต่อก็หาไม่ได้ ถ้าเราคืนเงินในส่วนของเรา เรื่องก็น่าจะจบ”

ถึงตอนนั้นภาพเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งที่ติดต่อกับแก๊งมาเฟียเวียดนามหวนเข้าสู่มโนนึกของดอกเตอร์ชาวไทยอย่างห้ามไม่อยู่

“จ่าเอกบรรลือศักดิ์เป็นลูกศิษย์ผม”

ประโยคนั้นทำให้อีกฝ่ายยื่นมือไปยังผู้ที่ได้รับการแนะนำ

“ยินดีที่ได้พบคุณ”

“เช่นกับครับ คุณวินเทียว”

บรรลือศักดิ์กล่าวอย่างสุภาพขณะที่บีบมือตอบ

“ลูกศิษย์ของผมเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษ สังกัดกองทัพเรือ ผมคิดว่าเขาจะเป็นประโยชน์กับงานที่เราทำร่วมกันอย่างมาก”

คำพูดที่ได้ยินทำให้หัวหน้ามาเฟียเวียดนามที่ชื่อวินเทียวเลิกคิ้วเล็กน้อย

“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด นับว่าน่าสนใจทีเดียว”

“บรรลือศักดิ์เชี่ยวชาญด้านไอที เขาสามารถเจาะข้อมูลที่อยู่ในชั้นความลับของทุกหน่วยงานมาให้เราได้”

ดอกเตอร์สิทธิชัยร่ายยาว

“ถ้าเราอาศัยความร่วมมือจากเขา งานค้ามนุษย์และยาเสพติดจากประเทศไทยที่เราทำอยู่ก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่น เพราะเราจะรู้ความเคลื่อนไหวของการปราบปรามซึ่งจากข้อมูลที่บรรลือศักดิ์สามารถแฮ็คมาให้”

“ผมไม่ขัดข้องถ้าคุณจะดึงลูกศิษย์คนนี้มาอยู่ในทีม เพราะการได้คนที่มีศักยภาพมาร่วมงานเพิ่มขึ้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีแน่”

“ใช่ครับ เพียงแต่ว่า…”

“ต้องมีค่าใช้จ่ายใช่มั้ย”

แอร์พอร์ตแท็กซี่แล่นมาหยุดอยู่ตรงสี่แยกที่มีสัญญาณไฟจราจร ขณะที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งเป็นพาหนะที่ถูกใช้งานมากที่สุดในเวียดนามแล่นเข้ามาหยุดแล้วออกันบริเวณด้านหน้าเพื่อเตรียมที่จะออกตัวให้เร็วที่สุดในทันทีที่สัญญาณไฟเขียวปรากฏให้เห็น

ดอกเตอร์สิทธิชัยชำเลืองมอง “บิ๊กไบค์” คันใหญ่ซึ่งอยู่ในกลุ่มพาหนะสองล้อบนถนนเพียงแว่บเดียวแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เพราะหมวกกันน็อคแบบปิดทึบทำให้เขาจำคมจักรและธงอินทร์ไม่ได้

“แม่งเอ๊ย… ทำไมกรมสืบสวนถึงไม่เก็บข้อมูลลับในเซิร์ฟเวอร์อย่างที่คิดวะ”

ดอกเตอร์ผู้มีหลังฉากเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้ามนุษย์นึกไปถึงการเจรจาครั้งสำคัญที่นำไปสู่ความตายอันไม่คาดคิดของคนสองคน

“ผมยินดีจะจ่ายให้พวกคุณคนละ 20 ล้านตามที่เรียกร้อง แต่แน่ใจนะว่าจะไม่ถูกหน่วยงานใดตรวจสอบ”

“สำหรับผมไม่มีปัญหาครับ คุณวินเทียวใช้ระบบเดิมที่เราเคยทำกันมาทุกครั้งได้เลย”

ดอกเตอร์สิทธิชัยตอบ

“ส่วนของลูกศิษย์ผม ขอให้จ่ายผ่านพี่สาวของเขาซึ่งมาเปิดร้านอาหารไทยในเมืองเบาได๋อยู่แล้วก่อนหน้าที่ผมจะรู้จักกับเขา”

“คุณมีพี่สาวอยู่ที่นี่ด้วยหรือ”

เจ้าพ่อเวียดนามหันไปถามอีกครั้ง

“ครับ พี่สาวผมชื่อปลายฟ้า”

บรรลือศักดิ์ตอบ

“แกแต่งงานกับคนเวียดนามเมื่อสามปีที่แล้ว ตอนนี้เป็นเจ้าของกิจการร้านปลายฟ้าอาหารไทยอยู่ในย่านแลมซัน”

“ดีเลย ผมชอบ เพราะงั้นก็เท่ากับว่าคุณเป็นเครือญาติคนหนึ่งของแผ่นดินนี้”

วินเทียวเหยียดยิ้ม

“มีอะไรเราจะได้ติดต่อกันอย่างสะดวกใจเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน”

คำพูดนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงสิ่งที่แฝงอยู่ในความคิดในใจที่จะใช้หญิงไทยคนหนึ่งเป็นตัวประกันเลยแม้แต่น้อย!

————————————-

“เจ้านายครับ”

เจ้าพ่อวินเทียวเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชีที่วางอยู่บนโต๊ะ

“มีอะไร”

“หุ้นส่วนคนไทยมาถึงแล้ว จะให้เข้าพบเลยหรือเปล่าครับ”

“พาเขาขึ้นมา”

ประโยคนั้นทำให้ผู้มาเยือนชาวไทยได้พบกับเจ้าพ่อทรชนเวียดนามตามต้องการ และดอกเตอร์สิทธิชัยก็เปิดการเจรจาโดยไม่อ้อมค้อม

“คุณวินเทียว… ผมเสียใจจริงๆ ที่ไม่สามารถทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ได้ เพราะลูกศิษย์ของผมตายแล้ว”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาของเรา”

เจ้าพ่อแห่งเมืองเบาได๋กล่าวได้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“พวกคุณสองคนรับเงินตามข้อตกลงไปแล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องเอาสิ่งที่เราต้องการมาให้ได้”

“ถ้าลูกศิษย์ของผมไม่ถูกกดดันจากลูกน้องของคุณวินเทียว เขาคงจะไม่ฆ่าตัวตายและคุณก็คงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”

“ดอกเตอร์กำลังต่อว่าผมงั้นหรือ”

“มันเป็นเรื่องโหดร้ายมากที่คุณฆ่าพี่สาวของบรรลือศักดิ์แล้วควักดวงตาส่งไปให้จนเขาสติแตกถึงขั้นจบชีวิตตัวเอง”

เจ้าพ่อเวียดนามหัวเราะเสียงกร้าว

“ที่จริงเราอยากจะตัดมือผู้หญิงที่ชื่อปลายฟ้าส่งไปด้วยซ้ำ แต่มันยุ่งยากกว่าการส่งอวัยวะที่มีขนาดเล็กกว่านั้น ก็เลยเลือกที่จะใช้ดวงตาแทนคำเตือน”

ดอกเตอร์ชาวไทยสูดลมหายใจแรงๆ

“ลูกศิษย์ของผมไม่ได้ตั้งใจจะบิดพลิ้ว แต่มันมีอุปสรรคจริงๆ”

“เราฆ่าผู้หญิงคนนั้นเพื่อเตือนว่าศพต่อไปคือคนที่เอาเงินไปแล้วไม่ทำตามข้อตกลง”

“ผมยินดีคืนเงินในส่วนของผม หวังว่าคุณวินเทียวคงจะไม่ขัดข้องนะครับ”

“แล้วเงินที่ลูกศิษย์คุณได้ไปล่ะ”

“อันนี้ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ไม่สามารถหามาคืนคุณได้ เพราะว่าทั้งเขาและปลายฟ้าซึ่งเป็นพี่สาวก็ตายไปแล้ว”

ดอกเตอร์สิทธิชัยทำใจดีสู้เสือ

“แปลว่าคุณจะคืนเฉพาะในส่วนของคุณ”

“ครับ”

คู่เจรจาชาวไทยซึ่งกำลังจะเคราะห์ร้ายฝืนยิ้ม

“หวังว่าคุณคงจะไม่ขัดข้องใช่มั้ยครับ”

“ก็ได้”

อีกฝ่ายพยักหน้า

“แต่กูจะควักตามึงออกมาข้างหนึ่ง เพื่อชดใช้กับเงินที่เสียไป!”

ประโยคที่ได้ยินทำให้ดอกเตอร์สิทธิชัยหัวใจกระตุกวาบก่อนจะไหวตัวด้วยสัญชาตญาณ เกือบจะพร้อมๆ กับที่วายร้ายเวียดนามร้องบอกสมุนเสียงลั่น

              “จัดการมัน!”

ลูกน้องของเจ้าพ่อวินเทียวสองคนปราดเข้าล็อคแขนของเหยื่อชาวไทยตามคำสั่ง ขณะที่คนที่กำลังจะถูกเล่นงานนัยน์ตาเหลือกพยายามดิ้นรนแต่ไร้ผล

“อย่าทำผม! กรุณาเถอะครับ!”

น้ำเสียงระล่ำระลักหลุดจากปากของดอกเตอร์สิทธิชัยซึ่งกำลังหวาดกลัวสุดขีดเมื่อสมุนคนที่สามของเจ้าพ่อวินเทียวชักมีดพกออกมา

              “ช่วยด้วย…! ช่วยผมด้วย… ใครก็ได้ช่วยผมที!”

ราวกับว่าประโยคนั้นเป็นวาจาสิทธิ์ เพราะไม่ทันขาดคำประตูห้องก็เปิดผางพร้อมๆ กับร่างของสมุนอีกคนที่ถูกลากคอขึ้นจากด้านล่างหัวคะมำถลาร่อนลงไปจูบพื้นโครมสนั่นแล้วแน่นิ่งไปด้วยสันมือที่สับเปรี้ยงเข้าที่ท้ายทอยเป็นการส่งท้ายในจังหวะที่กำลังจะกระเด็นเข้ามาด้วยแรงถีบ

              “เฮ้ย… อะไรวะ”

วินเทียวร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ

              “มึงเป็นใคร… ต้องการอะไร”

“ฉันเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบสวนของกองทัพเรือไทย”

ธงอินทร์ตอบเสียงเรียบ

“สิ่งที่ฉันต้องการก็คือมารับตัวคนที่กำลังจะถูกพวกแกเล่นงานกลับไปสอบสวนที่ประเทศของเรา”

“พูดง่ายนี่หว่า”

วินเทียวจ้องเขม็งไปยังธงอินทร์

“ลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่เป็นถิ่นของฉัน คนแปลกหน้าอย่างแกจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ยังไง”

ว่าแล้วหัวหน้าทรชนก็ร้องสั่งลูกน้อง

              “ฆ่ามันทั้งสองคน!”

ขาดคำ สมุนที่มีมีดก็ตวัดมือขวับ ยังผลให้อาวุธขาววับปาดเข้าที่คอหอยของคนไทยชะตาขาดอย่างถนัดนี่

คนที่โดนเข้าไปจึงมีอันสะดุ้งสุดตัวเลือดกระฉูดออกมาราวกับท่อประปาแตก พร้อม ๆ กับที่วิญญาณของดอกเตอร์สิทธิชัยหลุดลอยออกจากร่าง โดยไม่มีโอกาสได้เห็นเพชฆาตชาวญวนที่กระโจนเข้าใส่ธงอินทร์ในจังหวะอันต่อเนื่องหมายจะสังหารบุรุษชาวไทยให้แดดิ้น

แต่ยอดพยัคฆ์ชาวไทยไม่ใช่ไก่อ่อนที่จะถูกเชือดง่ายๆ ธงอินทร์จึงเบี่ยงหลบปลายมีดที่เสือกพรวดเข้ามาอย่างว่องไวพร้อมๆ กับที่มือขวาตะครุบหมับเข้าที่ข้อมือของฝ่ายตรงข้ามในจังหวะที่ตีนล่างเตะตัดเต็มเหนี่ยว

              ผัวะ!

เสียงบาทาปะทะข้อเท้าดังถนัดหูพร้อมๆ กับคนที่โดนเข้าไปจึงมีอันตีลังกาลอยขึ้นก่อนจะหล่นโครมลงไปฟาดพื้นดังสนั่น แต่นั่นก็ยังไม่บรรลัยเท่ากับการที่มีดเปลี่ยนมาอยู่บนมือของคนเตะอย่างเหลือเชื่อ และในพริบตาเดียวกับที่สมุนอีกคนของวินเทียวชักปืนพกออกมาจากเอวเพื่อจัดการผู้บุกรุก นาวาโทมหากาฬก็ขว้างอาวุธที่กระชากมาได้เข้าใส่อย่างรวดเร็วชนิดมองแทบไม่ทัน

              ฉึก!

มีดสั้นปักเข้าเต็มคอหอยของไอ้นั่นอย่างแม่นยำจนมิดด้ามพร้อมกับเสียงสยองขนที่บังเกิดขึ้น

แรงปะทะจากเครื่องประหารทำให้สมุนชะตาขาดสะดุ้งเฮือกหงายตึงลงไปฟาดพื้น ขณะที่เพื่อนของมันอีกคนโผนเข้าคว้าช็อตกันที่เสียบไว้ใต้โต๊ะออกมาหมายจะใช้เป็นอาวุธสังหารศัตรูให้ดับดิ้น

แต่เสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่ไอ้นั่นจะทันได้เหนี่ยวไก ธงอินทร์ก็เหวี่ยงตีนเข้าใส่ปากกระบอกที่จ่ออยู่เบื้องหน้าให้เบี่ยงเฉออกไปจากเป้า กระสุนแดงวาบที่ลั่นออกมาตูมสนั่นในวินาทีอันต่อเนื่องจึงพลาดจุดสังหารและคนยิงก็หมดโอกาสที่จะได้ตวัดปลายลำกล้องกลับเพราะธงอินทร์หมุนตัวควับเพื่อดีดขาหลังซ้ำเข้าให้ชนิดมองแทบไม่ทัน

              ผัวะ!

แรงตีนทำให้เขี้ยวเล็บของไอ้นั่นกระเด็นลอยขึ้นและยอดพยัคฆ์ชาวไทยก็ไม่ปล่อยให้ศัตรูได้ทำอะไรอีกนอกจากร้องอุทานเสียงหลงออกมาเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต เมื่อธงอินทร์กระโจนเข้าคว้าปืนที่หล่นลงมาจากเหนือหัวแล้วพ่นกระสุนเข้าใส่เจ้าของเดิมในบัดดล

              ตูม!

ร่างที่ถูกเผาขนด้วยช็อตกันผงะกระเด็นราวกับถูกม้าเตะก่อนจะโค่นตึงลงไปฟาดพื้นตายโหงตามเพื่อนของมันไปในบัดดล

ส่วนสมุนคนแรกที่โดนสับด้วยสันมือลงไปวัดพื้นถลันพรวดขึ้นมาเมื่อได้สติพร้อมด้วยปืนสั้นที่ชักออกมาจากเอวเช่นเดียวกับลูกพี่ของมันซึ่งกระชากลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อคว้าปืนพกมาเป็นเขี้ยวเล็บ

แต่อากัปกิริยาของทั้งคู่ก็ยังช้าไปกว่าความไวของพยัคฆ์ชาวไทยที่โผนเข้าล็อคคอสมุนแล้วพลิกร่างของมันมาเป็นโล่ห์กำบัง มือซ้ายตะปบทับมือข้างที่ถือปืนของปรปักษ์ มือขวาที่ถือช็อตกันวาดเข้าหาเป้าที่อยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะก่อนที่จะเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนในวินาทีที่ศัตรูระเบิดการยิงเข้าใส่ดังสนั่น

              เปรี้ยง!

              ตูม!

เสียงปืนของทั้งสองฝ่ายแผดลั่นพร้อมๆ กัน แต่ผลที่ได้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะมฤตยูร้อนจี๋จากการยิงของธงอินทร์จับเปาะเข้ากลางหว่างคิ้วของวินเทียวจนเจ้าพ่อทรชนเวียดนามหน้าสบัดก่อนจะหงายผึ่งลงจากเก้าอี้กลายเป็นผีไปเช่นเดียวกับสมุนคนสุดท้ายซึ่งโดนทะลวงยอดอกจากการทำหน้าที่เป็นโล่ห์มีชีวิตให้กับยอดพยัคฆ์ชาวไทย

ภายในห้องทำงานของแก๊งมาเฟียเวียดนามจึงกลายเป็นสุสานที่กลืนกินชีวิตของคนชั่วทั้งไทยและเวียดนามรวมห้าศพที่นอนตายเกลื่อนพื้นด้วยฝีมือของนาวาโทมหากาฬ

ไม่กี่อึดใจหลังจากเสียงปืนสงบลง คมจักรซึ่งปักหลักคุมเชิงอยู่ด้านล่างจึงค่อยๆ ย่างเท้าขึ้นมาพร้อมด้วยปืนสั้นบนมือ

“ให้ตายเถอะ…”

คมจักรอุทาน

“นายฟาดกับพวกมันจนเละเทะขนาดนี้เลยหรือวะ”

“เป้าหมายที่เราตามสืบโดนปาดคอเป็นรายแรก จากนั้นก็ล่อกันชุลมุนก่อนจะจบลงอย่างที่เห็น”

ธงอินทร์ตอบ

“คดีดวงตาปริศนาคงจะจบลงแล้วละ ที่เหลืออยู่ก็คงจะเป็นการประสานกับสำนักงานตำรวจเวียดนามเพื่อขยายผลต่อไป”

“แล้วดอกเตอร์สิทธิชัยล่ะ”

“เราจะพากลับบ้าน เพราะยังไงเขาก็เป็นคนไทยเหมือนเรา”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ธงอินทร์กล่าว ก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนออกมาต่อสายไปยังผู้ช่วยทูตทหารเรือประจำเวียดนามเพื่อแจ้งเหตุร้ายที่เกิดขึ้น

————————————-

“โรคซึมเศร้านับเป็นภัยเงียบใกล้ตัวกว่าที่คิดไว้ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหมั่นสังเกต จับสัญญาณร่างกาย อารมณ์ รวมถึงจิตใจ เพื่อจะได้ดูแลตัวเองและคนรักได้อย่างถูกต้อง อันตรายของโรคนี้เปรียบเหมือนโรคมะเร็งเกาะกินใจ เกาะกินอารมณ์ ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าสิ่งที่เคยสุขมากมาย ตอนนี้กลับจำมันไม่ได้แล้ว โรคซึมเศร้ามองไม่เห็น แต่ร้ายกาจโหดร้ายกว่าคำว่าเศร้าที่เรารู้จักกัน…

“จากการศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบว่า ‘โรคซึมเศร้า’ นั้นสัมพันธ์กับระดับของสารเคมีในสมองที่ควบคุมเรื่องอารมณ์เศร้าเสียสมดุล ไป โดยเฉพาะสารสื่อประสาทที่ชื่อ ‘เซโรโทนิน’ (serotonin) และ ‘นอร์เอพิเนฟริน’ (norepinephrine) ดังนั้นเมื่อแพทย์ให้ยาไปปรับระดับสารเคมีในสมองจึงทำให้อาการซึมเศร้าดีขึ้นได้

“จริงๆแล้ว ‘โรคซึมเศร้า’ ยังมีสาเหตุการเกิดอีกหลายอย่างซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยควรพูดคุยทำความ เข้าใจกับแพทย์ผู้รักษาเพื่อที่จะให้การรักษาได้ตรงจุด นอกจากนี้ทัศนคติของคนในสังคมนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อบุคคลที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

“บ่อยครั้งคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักจะไม่มีความสนใจในสิ่งต่างๆ รอบตัว เรียกง่าย ๆ ว่า ‘ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น’ ‘เบื่อหน่ายไปหมด’ รวมทั้งมีอาการต่างๆ เหล่านี้ตามมาด้วย เช่น กินเปลี่ยนไปจากเดิม เบื่ออาหาร กินข้าวไม่อร่อย หรือบางคนเป็นตรงกันข้าม คือ กินมากขึ้น ทั้งๆที่ไม่หิว ทำให้มีน้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลง เกินกว่าร้อยละห้าในหนึ่งเดือน

“หลายคนจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว ปวดหลัง ปวดศีรษะ สมาธิ ความจำไม่ดี ทำให้ทำงานผิดพลาดมากกว่าที่เคย ทำอะไรก็ไม่มั่นใจทั้ง ๆ ที่เป็นงานที่ตนเคยทำอยู่เป็นประจำ มีความคิดเชิงลบต่อตัวเองและโลกภายนอก เชื่อว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ไม่คู่ควรกับสิ่งดีๆ คิดว่าไม่มีทางหรือคงไม่มีใครจะมาแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นได้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีความคิดเช่นนี้มาก่อน มีความคิดเรื่องการตายหรือการฆ่าตัวตายอยู่ซ้ำๆ”

เสียงเปิดประตูห้องทำให้ธงอินทร์ละสายตาจากข้อมูลตรงหน้าที่รวบรวมได้จากแพทย์ประจำโรงพยาบาลกรุงเทพพร้อมกับเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นใคร

“เคาะประตูเสียบ้าง ก่อนจะเข้าห้องคนอื่น”

“แต่นายไม่ใช่คนอื่น”

คมจักรยักคิ้ว

“เข้าห้องคู่หูทำไมจะต้องเคาะประตูให้เสียเวลา”

“มารยาทดีจัง”

“นายกำลังอ่านเรื่องอะไร”

คมจักรพูดพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาชิด

“อ้อ… โรคซึมเศร้า เหมาะทีเดียว เพราะที่ฉันมาหานายก็เกี่ยวกับเรื่องนี้ นาวิกโยธินคนหนึ่งเพิ่งกลับจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีท่าทีว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า”

“มีคำสั่งให้เราไปพูดคุยกับเขางั้นหรือ”

“ถูกต้อง”

คมจักรพูดอย่างเป็นงานเป็นการ

“ความจริงงานนี้ควรเป็นเรื่องของหมอจิตเวชจากโรงพยาบาลทหารเรือ แต่หน่วยเหนือเห็นว่าในเบื้องต้นนักรบควรจะคุยกับนักรบเสียก่อน”

“เรื่องก็เลยมาตกที่เรา”

“ใช่”

คมจักรพยักหน้า

“ในฐานะที่เราเพิ่งสัมผัสกับจ่าที่มีปัญหาทางจิตจนนำไปสู่การฆ่าตัวตาย นาวิกโยธินคนนี้จึงไม่ควรเป็นเหยื่อรายต่อไป”

“โอเค ไม่มีปัญหา”

ธงอินทร์ยิ้มเล็กน้อย

“นาวิกฯ ผ่านศึกคนนั้นอยู่ที่ไหน พาฉันไปพบเขาได้เลย”

ไม่กี่นาทีต่อมา สองนาวาโทที่เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนนายเรือก็ก้าวขึ้นไปบนรถซีดานสีน้ำทะเลที่มีคมจักรเป็นคนขับ แล้วบ่ายหน้าไปยังหน่วยบัญชาการนาวิกโยธินสัตหีบในภารกิจใหม่เพื่อจัดการกับศัตรูที่ไม่มีตัวตน

***********************************


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่