◊ คุณนายแบรนด์เนมกับเกมท้ามัจจุราช ◊
……………….

โรงแรมแชงการีลา

ใจกลางเมืองฮัมบาลี สาธารณรัฐวารันดาร์

มันเป็นเวลาใกล้เที่ยงขณะที่สองนาวาโทชาวไทยนั่งอยู่บนโซฟาในล็อบบี้เย็นฉ่ำบริเวณชั้นล่างของโรงแรมที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวงของสาธารณรัฐซึ่งสถานการณ์ทางการเมืองกำลังผันผวนใกล้ถึงจุดแตกหัก

ทั้งคมจักรและธงอินทร์อยู่ในชุดพลเรือนเพื่อให้ดูกลมกลืนกับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติทั่วไปที่เดินทางมายังประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งได้รับเอกราชเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

“ดำรงพล… ข้างนอกเป็นไงบ้าง”

ธงอินทร์พูดเบาๆ ผ่านชุด “เอียร์โบน” ไปยังลูกประดู่ยศพันจ่าเอกซึ่งอยู่ในทีมปฏิบัติการเฉพาะกิจข้ามชาติ

“ทุกอย่างเป็นปกติครับ ลานจอดรถมีแค่ รปภ. ของโรงแรม ไม่มีความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ”

“รถเราพร้อมนะ”

“พร้อมครับ”

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาหนักแน่น

“ตอนนี้ผมนั่งอยู่หลังพวงมาลัยพร้อมออกรถได้ทันที ส่วนผู้หมวดชัยวิชิตอยู่ที่นั่งแถวหลังสุดกำลังดักฟังสัญญาณวิทยุในรัศมี 5 ไมล์รอบโรงแรม และเชื่อมต่อการสื่อสารกับเรือบรรทุกเครื่องบินเซียงไฮ้ที่ลอยลำอยู่ในทะเลครับ”

คำตอบจากลูกทีมทำให้ธงอินทร์รู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนที่ความคิดคำนึงของนาวาโทชาวไทยจะย้อนไปยังที่มาของภารกิจข้ามชาติที่ทำให้ตนเองและคมจักรซึ่งเป็นคู่หูต้องบินข้ามฟ้ามานั่งอยู่ในล็อบบี้ของโรงแรมแห่งนี้

“หน่วยข่าวกรองของตะวันตกยืนยันตรงกันว่ารัฐบาลของสาธารณรัฐราวันดาร์ซึ่งถูกแทรกแซงจากกลุ่มรัฐอิสลามที่ได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆ จากอิหร่านกำลังเตรียมที่จะเปลี่ยนนโยบายด้านต่างประเทศอย่างฉับพลันด้วยการตัดความสัมพันธ์กับมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งชาติที่เป็นพันธมิตรกับทั้งสองมหาอำนาจ”

ผู้อำนวยการสภาความมั่นคงซึ่งนั่งอยู่ข้างรัฐมนตรีกลาโหมประธานการประชุมในห้องบรรยายสรุปกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“มีคำเตือนว่าเหตุร้ายกับคนต่างชาติอาจเกิดได้ตลอดเวลา ทั้งการลักพาตัวหรือจับกุมเพื่อใช้เป็นตัวประกันในการต่อรองกับชาติตะวันตกหากการเจรจาข้อพิพาทในอ่าวเปอร์เซียไม่ได้ข้อยุติ”

“ฟังดูไม่ดีเลย”

รัฐมนตรีกลาโหมเปรยขึ้น

“ที่คุณพูดมามันเหมือนกับว่าราวันดาร์คือร่างทรงของอิหร่านที่ใช้กลุ่มรัฐอิสลามเป็นตัวเคลื่อนไหวในการเผชิญหน้ากับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาจากกรณีโจมตีเรือน้ำมัน”

“ถูกต้องครับ”

อีกฝ่ายตอบทันที

“ผมขออนุญาตแจ้งรายงานล่าสุดจากสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ ที่ระบุว่าเมื่อวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม 2562 กองกำลังพิทักษ์อิหร่านปล่อยวิดีโอแสดงภาพเรือสเตนา อิมเพอโร ของอังกฤษ ซึ่งถูกยึดโดยกองกำลังของอิหร่านที่โรยตัวมาจากเฮลิคอปเตอร์เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562 โดยโฆษกของรัฐบาลกล่าวหาว่าเรือนั้นละเมิดกฎการเดินเรือนานาชาติ ขณะที่ด้านเจ้าของเรือยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงเพราะเรืออิมเพอโรทำตามกฎทุกอย่าง

“ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีกรณีความพยายามจะยึดเรือน้ำมันของอังกฤษ แต่กองกำลังทางทะเลของอังกฤษบริเวณใกล้เคียงได้แล่นเรือไปหยุดยั้งได้ทันการณ์ ซึ่งแตกต่างจากเหตุการณ์ครั้งนี้ที่อยู่ไกลเกินไปทำให้เรือโดนยึดในที่สุด

“เจเรมี ฮันท์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษเรียกร้องให้อิหร่านปล่อยการยึดเรืออังกฤษโดยผิดกฎหมาย เพราะจะสร้างปัญหาด้านความมั่นคงที่สำคัญมากต่ออังกฤษ

“การยึดเรือบรรทุกน้ำมันนี้นับเป็นจุดต่ำสุดของความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกที่เกิดขึ้นตั้งแต่พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มจากการที่สหรัฐประกาศส่งเรือบรรทุกเครื่องบินและกองกำลังอื่น ๆ เข้าไปในตะวันออกกลางโดยกล่าวว่าจับสัญญาณการคุกคามจากอิหร่านได้

“ความตึงเครียดนี้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก เนื่องจากเกรงว่าการเคลื่อนที่แต่ละก้าวของมหาอำนาจอาจจะพลาดจนนำไปสู่สงครามได้”

ที่ประชุมเงียบไปชั่วขณะหลังผู้อำนวยการสภาความมั่นคงพูดจบ ก่อนที่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงจะเอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรก

“ผมคิดว่าเพื่อความไม่ประมาท เราเองก็ต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ในอ่าวเปอร์เซียที่อาจลุกลามใหญ่โตกลายเป็นสงครามอย่างฉับพลัน ถึงแม้การสู้รบนั้นจะไม่เกี่ยวกับเราโดยตรงก็ตาม”

“ผมเห็นด้วย”

รัฐมนตรีกลาโหมพยักหน้าก่อนจะตั้งคำถามอย่างเป็นงานเป็นการ

“มีสิ่งบอกเหตุอย่างอื่นที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มของสถานการณ์หลังการยึดเรือน้ำมันของอังกฤษหรือเปล่า”

“ซีไอเอและเอ็มไอซิกซ์ ได้หลักฐานว่าผู้นำของราวันดาร์บินไปพบกับผู้นำอิหร่านเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วและในระหว่างเดินทางกลับ มีการสั่งการไปยังกองทัพและหน่วยงานลับในราวันดาร์ให้เตรียมปฏิบัติการบางอย่างครับ”

คำตอบที่ได้ยินทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศพูดขึ้นบ้าง

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทุกชาติต้องเร่งอพยพคนของตนเองออกมาอย่างเงียบๆ อย่างนั้นใช่มั้ย”

“ใช่ครับท่านรัฐมนตรี”

ผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติตอบพร้อมกับกวาดสายตาไปยังผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน

“แต่ปัญหาที่ทุกชาติต้องเผชิญก็คือการอพยพคนที่อาจตกเป็นเป้าหมายออกจากพื้นที่ซึ่งกำลังจะมีอันตรายต้องกระทำอย่างเป็นความลับ ไม่ใช้ปฏิบัติการทางทหารโดยเปิดเผยเพราะจะกลายเป็นการละเมิดอธิปไตยและอาจเกิดการสูญเสียได้”

“ผมเข้าใจแล้ว”

รองนายกฯ ซึ่งรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงของชาติพยักหน้า

“และก็ได้สั่งการให้เหล่าทัพจัดส่งหน่วยเฉพาะกิจเข้าไปดำเนินภารกิจนี้โดยด่วนซึ่งเท่าที่ได้รับรายงานล่าสุด ทั้งกองทัพบกและกองทัพอากาศจัดทีมไปรับนักการทูตและนักลงทุนไทยออกมาจากเมืองฮัมบาลีหมดแล้วไม่ใช่หรือ”

“ยังครับ”

“หมายความว่าไง”

“ขณะนี้ภรรยาของรัฐมนตรีกระทรวงนวัตกรรมซึ่งเดินทางไปร่วมงานสัมมนาและไม่ได้เดินทางกลับพร้อมคณะ เพราะเกิดถูกชะตากับภรรยาของเจ้าของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งของวารันดาร์ ก็เลยอยู่ต่อในฐานะแขกส่วนตัว”

ผู้อำนวยการสภาความมั่นคงแห่งชาติเว้นระยะไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“ในเบื้องต้นรัฐมนตรีกระทรวงนวัตกรรมแจ้งให้ภรรยาทราบแล้วว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจและทางการไทยจะมีการจัดคนไปรับแล้วเดินทางกลับออกมาให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยโดยสารการบินพลเรือน”

“งั้นก็รีบลงมือเลย”

รัฐมนตรีกลาโหมพยักหน้า

“ตอนนี้กองทัพบกกับกองทัพอากาศได้ปฏิบัติภารกิจลับในลักษณะนี้ไปแล้ว ผมจึงอยากให้กองทัพเรือที่ยังไม่ได้แสดงฝีมือได้มีโอกาสบ้าง”

“ไม่มีปัญหาครับ ทหารเรือพร้อมรับภารกิจนี้”

พลเรือเอกปราการผู้บัญชาการทหารเรือตอบพร้อมกับชำเลืองหางตาไปยังนายทหารยศนาวาโทซึ่งนั่งอยู่ที่ปลายห้องประชุมเหมือนกับต้องการส่งสัญญาณบางอย่าง

“นาวาโทธงอินทร์เคยปฏิบัติงานในภารกิจอันตรายมาแล้วหลายครั้ง ผมจะมอบหมายให้เขาเป็นหัวหน้าทีมเดินทางไปกรุงฮัมบาลีให้เร็วที่สุด และขอให้คำมั่นว่าการพาคนไทยคนสุดท้ายกลับบ้านจะสำเร็จลุล่วงด้วยความเรียบร้อย”

“เราจะดำเนินการตามลำพังโดยไม่มีพันธมิตรมาเกี่ยวข้องใช่มั้ย”

รองนายกฯ ถาม

“ในเบื้องต้นน่าจะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะการเดินทางโดยสายการบินพลเรือนไม่น่าจะมีปัญหายุ่งยาก”

พลเรือเอกปราการตอบ

“อย่างไรก็ตาม หากมีอุปสรรคข้อขัดข้องเกิดขึ้น เราคงประสานกับกองทัพเรือจีนในการสนับสนุนภารกิจนี้ เพราะเท่าที่ผมทราบมาอย่างไม่เป็นทางการก็คือ ปักกิ่งเตรียมปฏิบัติการอพยพคนของเขาเหมือนกัน โดยใช้ ทร. เป็นหน่วยปฏิบัติ”

“ผู้บัญชาการว่าไปเลยก็แล้วกันเรื่องแผนสำรอง เพราะที่ผ่านมาทหารเรือไทยกับจีนก็มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นไม่ใช่หรือ”

คิดคำนึงของธงอินทร์กระจายหายไปในทันทีที่มีเสียงอุทานของคมจักรดังขึ้น

“แม่จ้าว…”

“อะไรหรือ”

“นั่นคนหรือตุ่มเดินได้… ตัวจริงของคุณนายสิริวรรณาทำไมถึงใหญ่บ๊ะละฮึ่มขนาดนี้ ไม่เห็นเหมือนในรูปเลย”

“อย่าเสียมารยาท”

ธงอินทร์ทำเสียงดุๆ ใส่เพื่อน

“ทหารเรือต้องเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกเครื่องแบบ นายไม่ควรจะวิจารณ์ใครแบบนี้”

“ฉันพูดจากสิ่งที่เห็น… ความจริงเป็นสิ่งไม่อาย อย่าลืมสิ”

“เงียบได้แล้ว ถึงเวลาทำงาน”

“ครับผม”

คมจักรยิ้มแป้นก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมธงอินทร์ซึ่งหันกลับไปทางด้านหลัง ขณะที่สตรีร่างท้วมในชุดสีสดเครื่องประดับแพรวพราวสะพายกระเป๋ามียี่ห้อก้าวออกมาจากลิฟต์แล้วกวาดตาไปรอบๆ เหมือนต้องการมองหาใครบางคน

“คุณสิริวรรณา…”

ธงอินทร์เอ่ยทักด้วยน้ำเสียงปกติ

“สวัสดีครับ… ผมนาวาโทธงอินทร์ หัวหน้าทีมปฏิบัติการพิเศษ ผมมารับคุณตามคำสั่งลับเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย”

“ส่วนผมนาวาโทคมจักร… เป็นรองหัวหน้าทีมต่อจากธงอินทร์และได้รับคำสั่งให้มารับคุณนายเหมือนกันครับ”

คมจักรพูดขึ้นบ้างพลางยื่นมือให้จับแต่ก็ต้องยิ้มเก้อๆ เมื่ออีกฝ่ายนิ่งเฉยแถมยังตอบกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ

“อย่าเรียกว่าคุณนาย… ฉันไม่ชอบ”

“อ้อ… ได้ครับ งั้นเรียกคุณผู้หญิงก็แล้วกัน”

คมจักรหัวเราะแหะๆ

“เชิญคุณผู้หญิงไปกับเราได้เลยครับ รถที่เช่ามารออยู่ด้านนอกแล้ว”

“รถเช่า…”

คุณผู้หญิงจากประเทศไทยทวนคำ

“ทำไมต้องใช้รถเช่าไม่ทราบ ที่ถูกแล้วสถานทูตต้องส่งรถประจำตำแหน่งมาอำนวยความสะดวกเมียรัฐมนตรีอย่างฉันไม่ใช่หรือ”

“ตอนนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจครับ การดำเนินการบางอย่างจึงต้องกระทำในลักษณะปกติเหมือนคนทั่วไป”

ธงอินทร์ตอบตามตรง

“เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของบุคคลระดับวีไอพี เราจึงต้องใช้รถเช่าเป็นพาหนะจากโรงแรมไปยังสนามบิน เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตครับ”

“ยี่ห้ออะไร บอกหน่อยได้ไหม”

“สบายมากครับ”

คมจักรตอบขณะที่สายตาจ้องไปยังกระเป๋าถือที่มีสายสั้น ๆ ซึ่งอยู่บนแขนของสิริวรรณา

“ทรงนี้ถ้าผมจำไม่ผิด เป็นหลุยส์ติงต๊อง รุ่นลิมิเต็ด มีใบเดียวในร้านย่านซองเอลิเซ กรุงปารีส หัวมุมถนนใกล้กับทางม้าลายตรงข้ามตึกชาลส์เดอโกล”

“มีที่ไหนกันหลุยส์ติงต๊อง… เรียกให้มันถูกหน่อยซิคุณ”

คุณนายรัฐมนตรีทำตาโต

“แล้วอีกอย่างที่ถามน่ะไม่ใช่กระเป๋าของฉัน แต่หมายถึงรถที่เช่ามายี่ห้ออะไร… อย่างคาดิแล็ค เบนซ์ หรือบีเอ็ม”

“รถตู้ครับ”

คมจักรตอบหน้าตาเฉย

“ยี่ห้อรู้สึกจะเป็นโฟล์คสวาเกนของเยอรมัน ปี 1985 ปะผุรอบคัน ไฟหน้าเหลือดวงเดียว ส่วนไฟท้ายขวาเพิ่งแตกตอนที่เราถอยรถออกมาจากบริษัท”

สตรีร่างท้วมยกมือท้าวสะเอว

“ฉันเป็นเมียรัฐมนตรีนวัตกรรม… อย่ามาพูดเล่นกันฉันนะ”

“ผมพูดจริงครับ ไม่ได้พูดเล่น”

คมจักรทำหน้าขึงขัง

“เราเลือกรถบุโรทั่ง เพราะมันจะได้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาของฝ่ายที่อาจจะคิดร้ายต่อคนไทย”

“ฉันเป็นเมียรัฐมนตรี เป็นผู้หญิง ใครกันจะมาคิดร้าย”

“ครับ ไม่คิดก็ไม่คิด”

คมจักรอมยิ้ม

“ว่าแต่กระเป๋าเสื้อผ้าของคุณนาย… เอ๊ย คุณผู้หญิงอยู่ไหนล่ะครับ ผมจะได้เอาไปขึ้นรถ”

“โน่น… หน้าเคาน์เตอร์”

หล่อนชี้มือ

“ฉันให้พนักงานโรงแรมยกลงมาตั้งแต่ตอนที่แจ้งเช็คเอาท์แล้ว”

“โปรดระบุด้วยว่าใบไหนครับ ผมจะได้ไม่พลาดไปยกของคนอื่น”

“ทั้งหมดนั่นแหละ… กระเป๋าฉัน”

“ทั้งหมดนั่น…”

เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปของคมจักรหยุดชะงักพร้อมๆ กับคำพูดที่หลุดปากออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“อย่าบอกนะครับว่าคุณนายมีกระเป๋าเดินทางห้าใบ”

“ก็ใช่นะสิ… ทำไมต้องทำเสียงตกใจขนาดนั้นด้วย”

“ปกติผมเห็นคนทั่วไปเขามีกันประมาณสองใบ หรือเต็มที่ก็สามใบ แต่ของคุณนายล่อเข้าไปตั้งห้าใบ”

“ก็มันจำเป็นนี่นา”

คนพูดทำตาโต

“ใบที่หนึ่งสำหรับใส่เสื้อผ้าชุดกลางวัน ใบที่สองชุดกลางคืน ใบที่สามชุดชั้นใน ใบที่สี่ใส่รองเท้า ใบที่ห้าใส่ของที่ช้อปมาได้”

“ผมว่าอย่ามัวเสียเวลาด้วยเรื่องนี้อยู่เลยครับ”

ธงอินทร์ขัดจังหวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากได้ยินรายงานจากลูกทีมที่อยู่ด้านนอกว่ามีบางอย่างที่เริ่มจะไม่ชอบมาพากล เมื่อ รปภ. บริเวณด้านหน้าโรงแรมทำการปิดกั้นทางเข้าออกอย่างกระทันหัน

“ถึงแม้ว่าระยะทางจากโรงแรมไปสนามบินจะไม่ไกลมาก แต่เราต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และต้องไปเดี๋ยวนี้”

“ก็ไปสิคะ ฉันไม่ได้โอ้เอ้อะไรสักหน่อย”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่คุณนายจากประเทศไทยตอบกลับมา ก่อนที่คมจักรจะดีดนิ้วเรียกพนักงานล็อบบี้ให้นำรถเข็นมายกกระเป๋าทั้งห้าใบ แล้วเดินตามไปยังประตูทางออกเกือบจะพร้อมๆ กับที่พันจ่าเอกดำรงพลซึ่งทำหน้าที่โชเฟอร์เลี้ยวรถขึ้นมายังด้านหน้าโรงแรม

ทันทีที่รถจอด จ่าโทพิสุทธิ์ศักดิ์ ลูกทีมอีกคนซึ่งมียศน้อยสุดก็เปิดประตูลงมาอย่างว่องไว ขณะที่เรือโทชัยวิชิตซึ่งมีความรู้หลายภาษาและทำหน้าที่พนักงานวิทยุประจำทีมยังคงปักหลักอยู่ในที่นั่งตอนหลัง เพื่อดักฟังการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่ของทางการวารันดาร์ชนิดไม่ปล่อยให้พลาดแม้แต่วินาทีเดียว

“เชิญครับ”

คมจักรผายมือ

“พาหนะพร้อมแล้วที่จะพาคุณนายไปยังสนามบินนานาชาติกันดาร์ฮาเพื่อกลับบ้าน”

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้…”

คุณนายรัฐมนตรีบ่นพึมพำ

“เกิดมาฉันยังไม่เคยนั่งรถที่เก่ามากขนาดนี้เลย เสียแรงเป็นเมียรัฐมนตรีของไทย”

“โอกาสทองเลยนะครับ อย่าลืมเซลฟี่ไว้ด้วย”

พูดจบ คมจักรก็ชะโงกตัวไปตบบ่าโชเฟอร์

“ไปได้… ที่หมายสนามบิน!”

ถึงแม้คมจักรจะร้องบอกเช่นนั้น แต่เรื่องก็ดูเหมือนจะไม่ง่ายนัก เพราะเมื่อรถตู้บุโรทั่งแล่นไปถึงทางออกด้านหน้าโรงแรม รปภ. ที่ประจำจุดกลับไม่ยอมยกที่กั้นขึ้นแถมยังร้องบอกเสียงลั่น

“ออกไม่ได้… ถอยกลับไป!”

“ทำไมออกไม่ได้”

ธงอินทร์ซึ่งนั่งข้างคนขับย้อนถาม

“เราเป็นนักท่องเที่ยวกำลังจะไปสนามบิน เพื่อเดินทางกลับประเทศไทย”

“แต่คุณต้องรอก่อน เพราะมีคำสั่งมาจากเจ้าหน้าที่ให้กักพาหนะของชาวต่างชาติทุกคันไว้ก่อนเพื่อรอการตรวจสอบ”

“อ้อ… อย่างนั้นหรือ”

ธงอินทร์ยิ้มเล็กน้อย

“แล้วถ้าเรามีบัตรพิเศษล่ะ จะออกไปได้มั้ย”

“บัตรอะไร”

“บัตรนี่ไง”

นาวาโทชาวไทยพูดพร้อมกับเอื้อมมือออกไปนอกรถ ทำท่าเหมือนจะยื่นอะไรบางอย่างให้ยามร่างผอม

ลูกไม้ของนาวาโทชาวไทยได้ผล เพราะในจังหวะที่ยามผู้เคร่งครัดยื่นหน้าเข้ามาหาใกล้ประตูรถ ธงอินทร์ก็คว้าหมับเข้าที่ต้นคอแล้วกระชากเต็มเหนี่ยว ยังผลให้อีกฝ่ายหน้าคะมำหัวทิ่มเข้ามาพาดอยู่กับขอบกระจกร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“เอาไม้กั้นขึ้น! ไม่งั้นหัวแกจะหลุดจากบ่า!”

เสียงเฉียบขาดของธงอินทร์ทำให้อีกฝ่ายนัยน์ตาเหลือก ด้วยความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อธงอินทร์ออกแรงกดลงไปเต็มกำลัง จนคนที่คาอยู่กับช่องประตูรู้สึกเหมือนกระเดือกกำลังจะแตก

“ยะ… ยอม…! ยอม.. แล้ว… ปล่อยผม!”

รปภ. พยายามส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก พร้อมกับยกแขนขึ้นกวัดแกว่งโบกมือเป็นสัญญาณให้เพื่อนอีกคนที่อยู่ในป้อมกดสวิทช์ให้ไม้กั้นยกขึ้น

“ก็เท่านั้นแหละ ไม่เห็นจะยากลำบากอะไรเลย”

ธงอินทร์พูดเสียงกร้าว ก่อนจะผลักคู่กรณีให้หงายผงะออกไป เกือบจะพร้อมๆ กับที่พันจ่าเอกดำรงพลผู้เป็นโชเฟอร์กระทืบคลัชตบเกียร์นำรถพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับรอนาทีทองอยู่แล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มาดามสิริวรรณาร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะไม่อาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดสถานการณ์จึงเป็นเช่นนี้

“พวกคุณทำอะไร พูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ ไปใช้กำลังกับยามทำไม”

“ถ้ามัวแต่เจรจา มีหวังไม่ได้ไปสนามบินแน่ครับ”

คมจักรตอบคำถามนั้นแทนเพื่อน

“ผมว่าคุณนายหลับตาแล้วนั่งนิ่งๆ หรือจะสวดอิติปิโสไปพลางๆ ก็ได้ครับ ถึงสนามบินเมื่อไหร่ค่อยลืมตา”

“ทำไมฉันจะต้องทำอย่างนั้นด้วย”

“อ๋อ ที่ผมแนะนำให้หลับตาสวดมนต์ก็เพราะผมแน่ใจว่ากว่าจะไปถึงที่หมาย ต้องมีเรื่องตื่นเต้นหวาดเสียวเกิดขึ้นตลอดทางแน่ๆ ครับ”

คมจักรพูดไม่ทันขาดคำ เรือโทชัยวิชิตซึ่งดักฟังสัญญาณวิทยุอยู่ในที่นั่งตอนหลังสุดก็ร้องออกมาดังๆ

“ถ้าจะไม่ค่อยดีแล้วครับ”

น้ำเสียงนั้นร้อนรน

“มีวิทยุสั่งการมาจากกองบัญชาการรักษาพระนครให้สกัดจับพาหนะของมาดามรัฐมนตรีกระทรวงนวัตกรรมของไทยที่ฝ่าด่านออกมาจากลานจอดรถของโรงแรม หน่วยปฏิบัติการที่อยู่ใกล้โรงแรมมากที่สุดคือรถสายตรวจ หมายเลข 179 ซึ่งตอบรับคำสั่งและเรียกกำลังเสริมมาแล้วครับ”

**************************


 อ่านทุกตอนคลิ๊กที่รูป 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่