คนเห็นสี (ตอนแรก)
………….

ตอนที่ผมได้รู้ว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นนั้น ผมอายุได้ราว 5 ขวบ

ตอนนั้นพ่อ แม่ และญาติ คิดว่าผมมีอาการป่วยบางอย่างทางสมองที่ทำให้การรับรู้และแปลผลจากประสาทสัมผัสผิดเพี้ยนไป เพื่อนที่โรงเรียนก็ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่ผมเป็น บ้างก็หัวเราะ บ้างก็ล้อเลียน สร้างความอึดอัดและทุกข์ใจอย่างมาก เพราะแม้แต่ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงต่างจากคนอื่น และต่างอย่างไร

กว่าจะหาเจอว่าอันที่จริงสิ่งที่ผมเป็นอยู่นี้เวลาก็ผ่านมายาวนานถึง 20 ปี ชื่อเรียกของมันคือ Synesthesia หรือที่ภาษาไทยเรียกกันง่ายๆ ว่า คนเห็นสี ที่เรียกแบบนี้เพราะคนประเภทผม ส่วนใหญ่มักจะรู้สึกได้ถึงสีในตัวอักษร หรือเสียงดนตรี ไม่ใช่เห็นเหมือนใส่ฟิลเตอร์ในแว่นตาอะไรอย่างงั้นหรอกครับ เหมือนกับว่าการรับรู้ปกติของคน ถ้าได้ยินเสียง สมองจะรับและแปลผลออกมาว่ามันคือเสียง แต่คนแบบผมจะแปลผลออกมาได้ทั้งเสียงและภาพ ซึ่งก็มักจะเป็นสีต่างๆ นกร้องคือสีเขียว แตรรถคือสีน้ำตาลแดง อะไรทำนองนี้

ความซับซ้อนยิ่งกว่านั้นคือ บางคนมันจะเชื่อมโยงในประสาทสัมผัสที่แตกต่างและหลากหลาย เช่น โจ๊กร้านนี้มีรสนุ่มๆ เหมือนผ้าห่ม กลิ่นน้ำหอมรุ่นนี้ส้มแปร๊ดเลย นิยายเรื่องนี้หนวกหู ชื่อเพื่อนคนนี้ขม แบบนี้ก็มี

ไม่ใช่โรคด้วยซ้ำ แต่เรียกว่าเป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งน่าจะเหมาะกว่า เพราะจริงๆ แล้วมันแทบไม่มีผลเสียอะไรเลยกับการใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ผมฟังเพลงได้ซับซ้อน ลึกซึ้งมากขึ้น ตีความได้หลากหลายขึ้น อ่อนไหวกับตัวอักษรบางคำในหนังสือ ลูบขนแมวแล้วได้กลิ่นหอม เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่า คนที่ไม่ได้มีลักษณะนี้ เขาเป็นอย่างไร แล้วก็ไม่ต้องไปทำให้เขาตกใจกับสิ่งที่เราเป็นก็พอ

คุณอาจจะสงสัยแล้วว่า เท่าที่อธิบายมา อย่างมากก็แค่แปลกใจ ไม่น่าจะทำให้ตกใจได้

นั่นไม่ใช่กรณีผมครับ ลักษณะทั้งหมดที่ว่ามาข้างต้น น่าจะธรรมดาไปเลย ถ้าผมจะเล่าว่า ผมสามารถรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่น่าขนลุกอยู่พอสมควร ที่แม้แต่ตัวผมเองก็อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร

ผมได้กลิ่นเหตุการณ์ และเห็นสีฆาตกร จากคนที่ทำการฆาตกรรมมาด้วยละครับ!

ไม่ว่าใครคนนั้นจะฆ่าอะไรมา เล็กจ้อยขนาดแมลง ปลา ไปถึงสัตว์ใหญ่ๆ นานแค่ไหนผมก็รับรู้ได้ เรื่องนี้เองที่เคยทำผมเดือดร้อนตอนเด็กๆ เพราะผมเป็นคนไปบอกเจ้าของบ้านที่ขายปลาว่าผมเห็นฆาตกรที่แกล้งตักปลาทองของเขาทิ้งเมื่ออาทิตย์ก่อน

สองคนนั้นบ้านติดกัน เขาทะเลาะกันรุนแรงมากจนขู่จะฆ่ากัน เจ้าของปลาเรียกผมมายืนยันว่าผมเห็นจริงๆ และให้เล่าเหตุการณ์ แต่พอผมเล่าว่า ผมเห็นสีฆาตกรลอยอยู่รอบตัวคนนั้น และได้กลิ่นคาวปลาทอง รู้สึกถึงความชื้นของน้ำ

เจ้าคนร้ายก็หัวเราะใส่หน้าผม หาว่าเป็นพวกร่างทรงที่เตี๊ยมมา ส่วนเจ้าของปลา ก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงหน้าแดงก่ำ ลากแขนผมไปหาแม่ผม แล้วด่าสาดเสียเทเสียว่าผมเป็นเด็กเลี้ยงแกะ ปั้นน้ำเป็นตัว

วันนั้นผมโดนฟาดหลายผัวะ แม่ตีแล้วก็มานั่งร้องไห้ เพราะแม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่ผมเป็น แต่แม่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าผมป่วย (ในความคิดของแม่ตอนนั้น) แต่จำเป็นต้องตีเพื่อลดความกดดันของคู่กรณีที่มายืนหน้าแดงจ้องหน้าตาถมึงทึงอยู่หน้าบ้าน

เรื่องคราวนั้นทำให้ผมได้เรียนรู้และจำฝังใจว่า เรื่องของสีฆาตกรและกลิ่นเหตุการณ์นี้ เป็นเรื่องที่ผมต้องเก็บเป็นความลับ บอกใครไม่ได้เด็ดขาด เพราะการรับรู้ในแบบของผม มันคงนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานอะไรไม่ได้ นอกจากจะไม่เกิดผลดีกับสถานการณ์นั้นแล้ว ยังจะนำเอาความเดือดร้อนมาสู่ตัวผมเองได้อีกด้วย

แต่ก็ใช่ว่ามันจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียวครับ เพราะต่อมาเมื่อผมโตขึ้น ผมก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงคบหากับเพื่อนที่มีสีฆาตกร บางคนเคยฆ่ากบ บางคนชอบทรมานและฆ่าหมา แมวจรจัด ผมเคยถอนตัวออกจากการสมัครเข้าทำงานที่บริษัทหนึ่งทั้งที่เพิ่งเริ่มทำงานวันแรก เพราะทนอยู่กับหัวหน้างานที่เคยเป็นอดีตคนฆ่าวัวในโรงฆ่าสัตว์ไม่ได้ ทั้งที่ภายนอกเขาดูสุภาพ ใจดี และอ่อนโยนเอามากๆ ผมรู้สึกได้ว่า สิ่งที่คนปกติเห็น เป็นเพียงเสื้อผ้าที่ห่มคลุมภายนอกเท่านั้น ผมรู้สึกได้ว่า ความเป็นฆาตกรในตัวเขายังคงเข้มข้น คุกรุ่นรอวันปะทุ และถ้ามีอะไรสักอย่างไปกระตุ้นเข้า ก็พร้อมจะระเบิดตูมออกมาได้ง่ายๆ

ในที่สุด ผมได้ทำงานในสำนักพิมพ์หนังสือสำหรับเด็ก ที่นี่เหมือนสวรรค์ คนรอบตัวล้วนมีสีและกลิ่นอ่อนโยน น่ารักเหมือนขนมหวาน บรรยากาศในการทำงานเหมือนอยู่ในห้องเด็กอ่อน  หลายครั้งที่ผมนั่งทำงานพลางสูดกลิ่นหอมของน้ำยาซักผ้าทารกและแป้งเด็ก ประกอบกับเสียงเพลงกล่อมจากโมบายล์แขวนที่ดังออกมาจากต้นฉบับหนังสือนิทานที่ผมกำลังตรวจ ทำเอานั่งสัปหงกหลายครั้ง แต่เพื่อนร่วมงานที่ส่วนใหญ่เป็นรุ่นพี่ก็ไม่มีใครว่าอะไร กลับเห็นว่าเป็นเรื่องน่าเอ็นดูเหมือนเด็กๆ ซึ่งนั่นทำให้ผมเขินเอามากๆ

เรื่องสำคัญในชีวิตผมเกิดขึ้นตรงนี้ครับ ตรงที่พักเที่ยงวันหนึ่ง พี่หัวหน้างานเดินเอาขนมปังเนยสดที่แกทำเองมาเดินแจกให้ชิม แกยืนเกาะโต๊ะผม เฝ้ารอด้วยดวงตาเป็นประกาย “เป็นไง อร่อยไหม”

ความอร่อยหอม นุ่มละมุนของขนมปังนั่น ทำเอาผมเผลอหลุดปากออกไปว่ารสชาตินุ่มลื่นเหมือนผ้าแพรจีน  แต่พอรู้ตัวผมก็สะดุ้งเฮือก ใจหายวูบ หน้าชา วิตกว่า คนรอบข้างจะรู้สึกกับผมแบบไหน

พี่หัวหน้างานกลับทำตาโตด้วยความประหลาดใจ “อ้าว เป็นคนเห็นสีกับเขาเหมือนกันเหรอเรา บังเอิญจริงๆ”

กลายเป็นว่า ทางสำนักพิมพ์กำลังจะจัดทำนิยายเยาวชน ที่ตัวละครในเรื่องมีอาการ Synesthesia ทางทีมเลยกำลังศึกษากันในเรื่องนี้พอดี ผมถอนหายใจยาว แทบจะร้องไห้ออกมา เมื่อได้รู้ว่า ที่ทำงานที่ผมรัก จะมีคนที่เข้าใจคนแบบผมและไม่รู้สึกว่าเป็นตัวประหลาดเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลต้นฉบับหนังสือเล่มนั้นทันที และกลายเป็นที่สนใจในที่ทำงาน บรรยากาศในการทำงานคึกคักขึ้น เมื่อทุกคนต่างมายืนเกาะโต๊ะผมด้วยดวงตาเป็นประกาย เพื่อฟังข้อมูลอาการที่ผมรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ซับซ้อน และแปลกไปกว่าคนอื่น

“สุดยอดเลย” ใครคนหนึ่งอุทาน “ฟังแล้วเหมือนเธอมีดวงตาของกวีเลยนะ แบบที่เห็นสีสันในสายลม รู้สึกถึงรสชาติของก้อนเมฆ ได้ยินเสียงดนตรีจากต้นไม้”

“ว้าว” หลายคนอุทานตาม “น่าอิจฉาจัง เหมือนเธอมีสัมผัสพิเศษจริงๆ ด้วย”

พี่หัวหน้ายิ้ม “เออ จริงสิ พี่ว่าจะบอกเธอ ว่าหนังสือเล่มที่เธอต้องทำ พี่มีทีมงานให้ทำงานร่วมด้วยอีกคนนะ”

หัวหน้างานว่าแล้วก็เรียกผู้ร่วมงานหญิงอีกคนหนึ่งเข้ามาใกล้ๆ “นี่ คนนี้ชื่ออ้อม เขาทำงานอยู่ฝ่ายการตลาด อยู่ที่ชั้นล่างน่ะ คงไม่ค่อยได้เจอกันมั้ง อ้อมเขาก็เป็นคนเห็นสีเหมือนกันนะ ก่อนหน้านี้พี่เลยไปคุยกับเขาเรื่องรายละเอียดอาการ น่ามหัศจรรย์มากเลย”

อ้อมยิ้มให้ผมแล้วยกมือไหว้ จนผมรีบรับไหว้แทบไม่ทัน โอ… แม่เจ้า ไม่อยากเชื่อเลย เธอคือสีที่สวยที่สุดที่ผมเคยเห็น ชมพู ฟ้า ขาว สลับเวียนกันไปมาเหมือนโอปอลน้ำดี เปล่งประกายราวกับไข่มุก

“สวัสดีค่ะพี่ อ้อมจะมาช่วยพี่ดูแลทิศทางของหนังสือในมุมของการตลาดนะคะ ยังไง เรียกปรึกษาได้ตลอดค่ะ”

เสียงของเธอมีกลิ่นวานิลลาผสมคาราเมล หอมยวนใจจนผมแทบอยากจะดึงเธอมากินเสียตอนนั้น

อ้อมเล่าว่า อาการเห็นสีของเธอเป็นแบบทั่วๆ ไป คือเห็น (รู้สึก) ตัวอักษรเป็นสี ได้ยินเสียงเพลงจากภาพวาด แต่ที่แปลกคือ เธอสามารถมองเห็นมูลค่าของสิ่งต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์

หัวหน้างานเล่าว่า “ตั้งแต่ สนพ. เรา ได้อ้อมมาทำงาน เราคัดกรองต้นฉบับได้รวดเร็วและแม่นยำมาก ทุกเรื่องที่อ้อมการันตีว่าขายดี ยอดขายพุ่งสูงทะลุเพดานตลอด ส่วนเรื่องที่ดูทรงเหมือนจะขายดีเพราะกำลังเป็นที่สนใจของตลาด อ้อมทักไว้ว่าให้พิมพ์น้อยๆ ก่อน ผลปรากฏว่าขายได้ไม่ถึงสองร้อยเล่ม โฆษณาเข็นยังไงก็เข็นไม่ขึ้น นี่ยิ่งกว่ามีซินแสประจำบริษัทเสียอีก”

#. (อ่านต่อตอนจบ) —-> คลิ๊กเลยจ้า

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่