ดวงอาทิตย์ในยามเช้าของวันที่ 31 ธ.ค. 2561 สาดแสงสีทองอ่อนอุ่นส่องผ่านกรอบหน้าต่างกระจก ผ่านเหล็กดัดลายหน้าต่างลมจีน เกิดลวดลายเงาทาบทับบนผืนผ้าม่านโปร่งสีขาวในห้องของย่าอี๊ดอย่างที่เธอชอบนั่งมองนานๆ เสมอ
แต่วันนี้ไม่เหมือนเช้าวันอื่นๆ…
ย่าอี๊ดตื่นตั้งแต่ยังไม่รุ่งเช้า ลุกขึ้นจัดการธุระส่วนตัว อาบน้ำ แปรงฟัน หยิบเสื้อคอบัวสีเขียวหยกตัวโปรดและกางเกงยืดสีน้ำตาลเข้มที่มักใช้สวมใส่ออกไปข้างนอกมาใส่ กลิ่นน้ำยารีดผ้าโชยขึ้นมาหอมสะอาดเธอเลือกและเตรียมชุดนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
หญิงชราใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบแปรงหวีผมออกมาหวีแสกให้เรียบร้อย ติดกิ๊บดำข้างละสองตัวไม่ให้ฟูกระจายระหน้า ทาแป้งเด็กกับสีผึ้งไนติงเกลกันปากแตก มองเข้าไปในกระจก พินิจพิจารณาใบหน้าหญิงชราอายุ 75 ปี ที่ร่วงโรยไปตามวัย ผมสีดอกเลาตัดสั้นดัดเป็นลอนคลื่นเสมอติ่งหู บางมากแล้ว บางจุดเห็นหนังหัวชัดเจน ยิ่งเมื่อเทียบกับสักสิบห้าปีก่อน ตอนที่เธอรู้สึกว่าตัวเองแก่หง่อมเต็มทีจนเลิกหยิบจับเครื่องสำอาง เลิกเขียนคิ้ว ทาลิป ตอนนั้นผมก็ยังหนากว่านี้มาก ผิวหน้าเหี่ยวย่น หนังตาตก ริ้วรอยที่ลำคอเหี่ยวเหมือนนางแม่มดในหนังสือนิทานที่เคยอ่านให้ลูกชายฟังเมื่อตอนเด็กๆ ‘จริงๆ ถ้าแม่มดนั่นมีความน่ากลัวแค่เพราะเป็นหญิงแก่ มันก็คงไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมายนักหรอก’ เธอคิด
ย่าอี๊ดสวมถุงเท้าสีขาวยาวแค่ข้อ รองเท้าคัทชูหนังนิ่มสีน้ำตาลอ่อนคู่โปรด คล้องกระเป๋าถือใบย่อมสีเดียวกันไว้ที่ข้อมือ กระเป๋าใบนี้รักนักเพราะลูกชายเคยซื้อให้เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ใช้จนหนังนิ่มน่ายสบายแขน หนังยังสวยเงางามเพราะเธอลูบด้วยน้ำมันมะกอกเป็นประจำ เดินออกจากตึกแถวเก่าที่เธออยู่มากว่าครึ่งชีวิตหลังแต่งงานกับเถ้าแก่หวังตั้งแต่อายุ 25 ปี อาคารเก่าแบบนี้ไม่ค่อยเห็นในตัวเมืองแล้ว ขายทุบทิ้งทำห้างสรรพสินค้าทำคอนโดมิเนียมโก้หรูสร้างโลกใบใหม่ให้คนรุ่นใหม่ไปเกือบหมด หากว่าตึกแถวที่ย่าอี๊ดอยู่ไม่ได้เข้าไปในซอยอย่างนี้ แต่อยู่ติดถนน ก็คงไม่เหลือเหมือนกัน
หญิงชราเดินออกมาได้สักหน่อยก็หันกลับมามองอาคารที่เธอผูกพัน อาคารสองชั้นทรงสี่เหลี่ยมตันๆ มีช่องหน้าต่างช่องลมแบบเก่าที่ไม่ได้เปิดใช้งานมานานมากแล้วเพราะปัญหามลพิษที่เพิ่มขึ้นทุกที ที่เคยคิดว่าเก่า ตอนนี้ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อมโฉบเฉี่ยวทันสมัยรอบด้านก็ยิ่งดูเก่า แก่ โทรม มากขึ้นไปอีกหลายเท่า
ย่าอี๊ดมองที่หน้าต่างชั้นสอง จำได้ขัดเจนจนตัวเธอเองประหลาดใจว่าครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่เธอเดินหิ้วกับข้าวกลับเข้ามาในซอย ยังเห็นมือและแขนเล็กๆ ลอดออกมาโบกไหวๆ เสียงเจื้อยแจ้วตะโกนเรียกแม่จ๋า ใบหน้าขาวๆเล็กๆ ที่เธอรักเหมือนแก้วตาแนบติดกับลูกกรงตรงนั้น ตาจ้องมองลงมาหาแม่เหมือนอยากกระโดดลงมากอด
‘รอแม่อีกสักเดี๋ยวนะจุ้งฮง เต้าหู้ปลาก็มี ผักปวยเล้งก็มี ของชอบของลูกทั้งนั้น เดี๋ยวจะเอาผัดเต้าเจี้ยวดีกินกับข้าวหอมร้อนๆ’
หญิงชรานึกประโยคนั้นในใจ เผลอยิ้มออกมาเต็มหน้า ก่อนจะรู้สึกตัวว่ากำลังยืนยิ้มให้บานหน้าต่างว่างเปล่า สายลมกลางฤดูหนาวพัดโชยมาพอให้เย็นผิวเนื้อ เจือกลิ่นบรรยากาศเฉลิมฉลองของปีใหม่เข้ามาจางๆ ย่าอี๊ดรีบหันหลังเดินออกจากซอยไปยังจุดหมายที่ตั้งใจเอาไว้
ที่ชั้นสี่ของห้างนี้ ย่าอี๊ดผู้ก้าวไม่ค่อยทันจังหวะของบันไดเลื่อนขึ้นมาถึงได้อย่างทุลักทุเลโดยความช่วยเหลือของผู้ที่เข้ามาใช้บริการคนอื่นๆ อีกหลายคน เธอตกลงใจว่าจะใช้ลิฟต์แทนบันไดเลื่อนในขากลับ
อากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ของอาคารทำให้หญิงชราสบายตัวขึ้น เสียงเพลงเทศกาลปีใหม่และคริสต์มาสยังคงดังออกมาจากเครื่องขยายเสียงไม่ขาด ผู้คนดูไม่หนาตามากนัก คนส่วนใหญ่คงอยู่กับครอบครัวแล้วในวันเวลาเช่นนี้
หญิงชรากวาดตามองหามุมของขวัญปีใหม่ที่ทางห้างสรรพสินค้าจัดเอาไว้ มีบางโต๊ะ บางชั้นที่ติดป้ายลดราคาขนานใหญ่ คงเป็นโค้งสุดท้ายก่อนถึงเวลานับถอยหลังเฉลิมฉลองในคืนนี้
การเลือกของขวัญเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ย่าอี๊ดชื่นชอบที่สุด เธอมั่นใจและแสนภูมิใจว่าตนรู้จักสมาชิกในครอบครัวดีกว่าใครๆ นั่นไงนั่นๆ ตรงเครื่องแก้ว กระเบื้องเซรามิก มุมนี้นี่ต้องเฮียหวัง เฮียหวังชอบดื่มน้ำชาสูบไปป์ ชุดกาและถ้วยชาที่ใครต่อใครชอบซื้อมาให้ไม่เคยถูกใจเท่าชุดที่ย่าอี๊ดเลือก ขนาดถ้วย สีสันลวดลายไม่จัดจ้านแต่ก็ไม่เรียบเกลี้ยง กระทั่งความหนา–บางของเนื้อกระเบื้องความลึก รูปทรงอ้วน ผอมของถ้วย ที่ตะแกจะคลึงนิ้วไปมาถนัดมือยามนั่งเขลงอยู่บนเก้าอี้หวายตัวโปรดทอดสายตาดูรายการโทรทัศน์ที่ชื่นชอบ
ย่าอี๊ดยืนอมยิ้มมองชุดน้ำชาลายกระต่ายตำข้าวขลิบขอบทองอยู่พักใหญ่ ค่อยๆ หยิบถ้วยชาใบเล็กจิ๋วใบหนึ่งขึ้นมาพินิจพิจารณาอย่างทะนุถนอม ลูบจับขอบดูเนื้อกระเบื้องเบามือ …นี่ไง ไม่หนาเกินไป ไม่บางเกินไปผิวสัมผัสลื่นสบายนิ้ว ก้นถ้วยขอบนูนนิดหน่อย กระต่ายน้อยน่าเอ็นดูสองตัวคล้ายชำเลืองตามองจ้องหน้าแป๋วแหวว ย่าอี๊ดยิ้มกว้างชอบใจ อย่างนี้แหละ ของขวัญต้องแบบนี้ที่เฮียหวังจะชอบ
โน่นแน่ะ แผนกของเล่นเด็กผู้ชาย แผนกนี้ย่าอี๊ดชอบมาก ถ้าตอนจุ้งฮงเด็กๆ เธอได้มาเดินเลือกของเล่นตามห้างแบบนี้ก็คงดีตอนนั้นห้างยังไม่เปิด เธอต้องนั่งรถเมล์ไปหาซื้อของเล่นให้ลูกไกลถึงสำเพ็ง
จุ้งฮงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเมื่อตอนเด็กเอาใจไม่ยาก ของขวัญที่แกจะชอบคือของเล่นที่มีล้อ รถ เครื่องบิน หุ่นยนต์ กระทั่งตุ๊กตาก็ต้องมีล้อ ขนมต้องเป็นรสช็อกโกแลตเท่านั้น เข้าวัยรุ่นเอาใจยาก อะไรก็ไม่ถูกใจ ต่อเมื่อโตมาเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัวก็กลับมาชอบข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับรถยนต์ ตุ๊กตาติดคอนโซล หมอนรองหลัง ม่านกันแดดในรถ ผ้าคลุมเบาะเข้าชุดกัน ย่าอี๊ดเคยซื้อกรอบป้ายทะเบียนรถลายเหมือนม้าลายให้ จุ้งฮงชอบใจเอามากทีเดียว
แผนกนี้ของห้างหรูได้เงินย่าอี๊ดเอาเมื่อตอนที่จูล่ง หลานชายคนโตของย่าอี๊ดเริ่มรู้ประสา จูล่งชอบเล่นทำอาหาร เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ครัวของเล่นเล็กจิ๋ว ผักผลไม้ยางบ้างพลาสติกบ้าง ย่าอี๊ดหัวเราะลั่นเมื่อเห็นไก่ย่างปลอมตัวโตที่จูล่งหอบมาให้ยายเอาไปคิดเงิน ไหนจะพวกของเล่นแบบที่มีแสงแวบวับ พวกโคมไฟรูปตุ๊กตาเงินเก็บสะสมของย่าอี๊ดที่ลูกมอบให้ในช่วงปีหลังๆ มักหมดไปกับของขวัญของเล่นหลาน จนพ่อแม่จูล่งต้องคอยปรามว่าย่าอี๊ดจะตามใจหลานจนเสียเด็ก
‘จะไปกลัวทำไมนักหนา’ ย่าอี๊ดเคยเถียงจุ้งฮงในใจ ‘ลองอยู่มาจนอายุขนาดแม่นี่เถอะ แล้วจะรู้ว่าชีวิตมันไม่ได้ยาวนานอย่างที่ลูกคิดหรอก ทำชีวิตให้มีความสุขเข้า ไม่เห็นรอยยิ้มของจูล่งเวลาได้ของเล่นถูกใจหรือ ตาแกเป็นประกายเจิดจ้าเหมือนกับตาของลูกตอนที่ได้รถคันใหม่สมัยอนุบาลไม่มีผิด ชื่นชมมันสิลูกเอ๋ย รักให้มากๆ กอดให้มากๆ ช็อกโกแลตขนมอร่อยในโลกนี้มีมากมายเกินกว่าที่เราจะลองชิมได้หมดในชีวิตเดียว งั้นจะมัวไปสนใจแต่ผักขมๆ อยู่ทำไม’
ชั้นตรงหน้ามีชุดแป้งโดว์และพิมพ์สำหรับทำอาหารจำลองมากมายหลายอย่าง บางชิ้นจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูน่ากินกว่าอาหารจริงๆ เสียอีก แป้งโดว์ชุดรถขายไอศกรีมน่ารัก และมีล้อ ย่าอี๊ดยกขึ้นมาดูยิ้มตายิบหยี ‘พ่อลูกมันน่าจะเล่นกันได้นะ รถทำอาหาร มีทั้งอาหารมีทั้งล้อเลย’ เธอคิดแล้วก็หัวเราะเบาๆ
ถัดจากชั้นของเล่นก็เป็นชั้นตุ๊กตา ใครจะไปเชื่อว่าตั้งโอ๋ ลูกสะใภ้ของเธอ แม้จะอายุสามสิบแล้วก็ยังรักตุ๊กตา เรียกว่าคลั่งไคล้เลยก็ยังได้ ปีละครั้ง ที่หญิงสาวจะได้รับตุ๊กตาเป็นของขวัญวันเกิด เธอจะพาเจ้าพวกขนฟูนุ่มนิ่มเต็มอ้อมกอดไปคลุกเคล้ากลิ้งด้วยบนที่นอนราวกับเด็กเล็กๆ ตั้งชื่อให้กับตุ๊กตากว่าสามสิบตัวในห้องและไม่เคยเรียกชื่อพวกมันผิดแม้สักครั้งเดียวหญิงชราประคองตุ๊กตากระต่ายหูยาวพับขนยาวสลวยนุ่มลื่นนวลมือสีครีม ตาสีฟ้า แก้มป่องๆ สองข้างปัดสีชมพูจางบางเบา ขนาดตัวมันเท่ากับทารกเล็กๆ ยิ่งเวลาอยู่ในอ้อมแขนเนื้อตัวนุ่มนิ่มมีน้ำหนักของมันยิ่งทำให้รู้สึกแบบนั้น หญิงชรานึกภาพลูกสะใภ้อุ้มประคองเจ้ากระต่ายตัวนี้ไว้ในอ้อมกอด ถูแก้มเข้ากับหัวของมันอย่างรักใคร่ แล้วย่าอี๊ดก็ยิ้มออกมา
หญิงชราหยุดยืนพักขาครู่หนึ่ง หันไปพบผนังกระจกของร้านค้าที่ปิดทำการ ด้านในปิดไฟมืด ทำให้กระจกสะท้อนภาพย่าอี๊ดซึ่งยืนอยู่ในที่สว่างแบบเต็มตัวอย่างชัดเจนราวกับกระจกเงา เธอเห็นภาพหญิงชราผิวซีดเซียวเพราะไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปไหน ตัวผอมเหี่ยวอยู่ในเสื้อผ้าเก่ามอซอแบบชุดเชยพ้นยุคพ้นสมัย ราวกับภาพตัดปะไม่เข้ากับสถานที่อันหรูหราโอ่โถ่ง ทันสมัย สวยงามตระการตาที่เป็นฉากโฉ่งฉ่างอึกทึกครึกครื้นอยู่ด้านหลัง
หุ่นโชว์เสื้อผ้าสวมเสื้อผ้ายี่ห้อดังทั้งชุดกีฬา ชุดว่ายน้ำ ชุดลำลองทั้งชายหญิง ยืนเรียงรายอยู่ด้านในท่วงท่าสวยเก๋ ดูราวกับเหล่านางแบบนายแบบเหล่านั้นพากันมายืนดูหุ่นขี้ผึ้งหญิงชราจากโลกเก่าที่ยืนนิ่งงันอยู่อีกฟากของกระจก
เธอออกเดินต่ออมยิ้มคนเดียวท่ามกลางบรรยากาศแห่งปีใหม่ ต้นคริสต์มาสยักษ์ที่ดารดาษไปด้วยลูกบอลเงินลูกบอลทอง เกล็ดน้ำแข็ง หิมะจำลอง ซานตาคลอสส่ายเอวเต้นไปมาในเพลงจิงเกิลเบลร็อคทุกครั้งที่มีคนเดินผ่าน สายรุ้งประดับประกายสีแพรวพราว ไฟหลอดเล็กจิ๋วสารพัดสีวิบวับ ริบบิ้นสีทองติดโลโก้ห้างสรรพสินค้า กระดาษห่อของขวัญทั้งลายคลาสสิกและรูปการ์ตูนต่างๆ
เสียงเพลงสวัสดีปีใหม่ดังคลอไม่ขาดสาย ยายอี๊ดเงยหน้าสูดกลิ่นขนมอบ คุกกี้ กลิ่นกาแฟ ช็อกโกแลตร้อน กลิ่นกระดาษใหม่ กลิ่นฤดูหนาว และกลิ่นหอมของอะไรบางอย่างที่เธอเองก็อธิบายไม่ถูก แต่เป็นกลิ่นหอมที่คิดถึง อุ่นอวลอยู่ในความทรงจำ ทั้งแจ่มชัดและเลือนรางราวความฝัน
เป็นวันแรกในรอบปีนี้ที่ย่าอี๊ดเถลไถลอยู่ในห้างสรรพสินค้าเสียจนดึกดื่น ทางเดินในซอยเข้าบ้านโล่งร้างผู้คน เสียงจากจอโทรทัศน์บ้านข้างๆ ดังลอดออกมา พวกเขากำลังดูหนังเรื่อง Love actually หนังเรื่องเดิมๆ ที่พวกเขาดูด้วยกันเสมอในคืนข้ามปี เสียงงานปีใหม่จากลานหน้าห้างสรรพสินค้าแว่วดังมาไกลๆ อีกไม่นานพวกเขาจะเริ่มนับถอยหลังเพื่อจุดพลุเฉลิมฉลอง
ย่าอี๊ดวางถุงกระดาษบรรจุกล่องของขวัญลงข้างตัว ไขกุญแจเข้าบ้าน เอื้อมมือเข้าไปกดเปิดไฟในบ้านให้สว่างขึ้น อากาศในตัวบ้านอุ่นกว่าข้างนอก มีกลิ่นอับชื้นและกลิ่นผัดหัวผักกาดหวานใส่ไข่ที่เธอผัดกินกับข้าวต้มตั้งแต่ตอนเช้าลอยอยู่จางๆ
หญิงชราค่อยๆหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้หวายที่เคยเป็นที่นั่งประจำของเถ้าแก่หวัง สามีคู่ชีวิต นวดหัวเข่าและน่องลีบๆ ของตนเบาๆ ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหงุดหงิดอย่างเคย เพราะเป็นความปวดเมื่อยที่แลกมากับความสุขของวันนี้
รูปถ่ายเถ้าแก่หวังที่ติดอยู่เหนือทีวีมองลงมาที่ย่าอี๊ดเหมือนจะคุยอะไรบางอย่าง ย่าอี๊ดพยักหน้าให้ทีหนึ่ง คนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมายาวนานมากขนาดนี้ พอถึงวันหนึ่งก็แทบไม่ต้องพูดจาอะไรกันอีกแล้ว เพราะรู้เสียหมดแล้วว่าอีกฝ่ายจะคิดจะพูดอย่างไร อยากทำไม่อยากทำ อยากได้ไม่อยากได้อะไร
หญิงชราเลื่อนสายตามองภาพถ่ายภาพอื่นๆ ที่แขวนติดอยู่บนผนังเดียวกัน ภาพครอบครัวสมัยจุ้งฮงยังเล็กนั่งบนตักแม่ ตัวอ้วนฟูเหมือนเด็กในสลากโฆษณาซีอิ๊วขาว มีเตี่ยของแกยืนยิ้มอายๆ อยู่ด้านหลังรูปจุ้งฮงในชุดกีฬากำลังรับเหรียญเงินแข่งว่ายน้ำที่โรงเรียน วันรับปริญญาของลูก รูปวันแต่งงานของจุ้งฮงกับตั้งโอ๋ที่ถ่ายเป็นคอลเลคชั่นหลายรูปในรูปเดียว และรูปวันคลอดจูล่ง แม่ของแกตาบวมแดง ร้องไห้ดีใจที่ได้อุ้มลูก จูล่งในชุดนักเรียนอนุบาลวันแรก
ย่าอี๊ดยิ้มให้กับทุกรูป พยักเพยิดหน้าเหมือนกำลังรับฟังเสียงเจื้อยแจ้วแห่งความสุขดังออกมาจากภาพเหล่านั้น
นาฬิกาตั้งพื้นดังเก๊งๆ บอกเวลาห้าทุ่มตรง เธอเดินเกาะราวบันไดไม้ขัดเงาเลื่อมขึ้นไปบนชั้นสอง ช้าๆ ไม่เร่งรีบยังมีเวลาเหลือพอ
หลังอาบน้ำเช็ดตัวประแป้งจนสะอาดหอมฟุ้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนผ้าฝ้ายสีขาวตุ่น เปิดม่านโปร่งที่หัวนอนออกกว้าง มองผ่านกระจกใสออกไปยังซอกตึกแคบๆ แลเห็นท้องฟ้าสีดำสนิทด้านหลัง นั่งใจจดใจจ่อรอบนเตียง
ย่าอี๊ดถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้นตอนที่ได้ยินเสียงผู้คนจำนวนมากในงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ช่วยกันตะโกนนับถอยหลัง 10…9…8…7…6…5…
เธอประสานมือเข้าด้วยกัน หลับตาลง 2…1…0…แฮปปี้นิวเยียร์ สวัสดีปีใหม่คร้าบ เสียงพิธีกรตะโกนใส่ไมโครโฟนน้ำเสียงตื่นเต้นร่าเริง พร้อมๆ กับเสียงดนตรีบรรเลงอินโทรเพลงพรปีใหม่และเสียงพลุดอกไม้ไฟระเบิดดัง ตูม…ตูม… ก้องสะท้อนมาจากที่ไกลๆ
ย่าอี๊ดรีบหยิบถุงกระดาษขึ้นมาจากข้างเตียง ค่อยๆ หยิบกล่องของขวัญขนาดย่อมออกมา หายใจเร็วขึ้นนิดหน่อยด้วยความตื่นเต้นดีใจ กล่องของขวัญสีแดงคาดริบบิ้นผ้าโปร่งสีเขียวขลิบดิ้นทองดูสวยงามหรูหราราวกับภาพวาดของจิตรกรฝีมือดี สวยสมบูรณ์แบบจนเธอแทบไม่กล้าแกะ
หญิงชราสูดหายใจเข้า ก่อนค่อยๆ แกะริบบิ้นออกช้าๆ ด้วยมือสั่นเทา เสียงพลุที่ยังดังต่อเนื่องทำให้หัวใจเต้นแรงต่อเนื่อง แสงวาบจากพลุดอกไม้ไฟที่มองเห็นบางเศษเสี้ยวได้จากซอกตึกดึงสายตาย่าอี๊ดให้หันไปมองได้ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น ดูเหมือนเธอจะตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ค่อยถูก
ของในกล่องถูกประคองออกมาอย่างแผ่วเบาที่สุด กล่องดนตรีประดับด้วยแก้วคริสตัลเจียระไนรูปหญิงสาวสามคนกำลังเต้นระบำในชุดบัลเลต์ เธอสง่างาม บอบบาง อ่อนช้อยน่าทะนุถนอมเสียยิ่งกว่าอะไรในชีวิตที่ย่าอี๊ดเคยเห็น ท่วงท่าแต่ละนางร่าเริงสดใสราวกับเทพธิดาตัวน้อยที่เพิ่งหนีเมืองสวรรค์ลงมาเที่ยวเล่น ยิ่งเวลาส่องสะท้อนกับแสงไฟ แพรวพราว วับวาว ระยิบระยับจากเหลี่ยมเจียระไนนับร้อยนับพันที่สะท้อนเข้าตายิ่งทำให้สิ่งนี้ดูล้ำค่าราวอัญมณี
มือเหี่ยวย่นหมุนบิดฐานกล่องดนตรีดังแกรก แกรก สองสามรอบ แล้วปล่อยมือออก วางลงบนโต๊ะหัวเตียงใต้โคมไฟสีนวล ท่วงทำนองเพลง Fly me to the moon ดังแผ่วหวานล่องลอยอยู่ในห้องนั้น หญิงชราคลี่ยิ้มทั้งน้ำตาคลอเอ่อด้วยความตื้นตันใจ
ย่าอี๊ดค่อยๆ นอนตะแคงลงบนที่นอน หนุนหมอนที่ใช้ประจำ สอดเท้าทั้งสองข้างเข้าไปในผ้าห่มแพรเพลาะ ดวงตาทอดมองเทพธิดาน้อยที่พากันเต้นระบำหมุนตัวไปมาตามท่วงทำนองเพลงที่เธอรัก ของขวัญปีใหม่ของเธอช่างน่าตื่นตาตื่นใจและน่าหลงใหลเสียเหลือเกิน
เสียงพลุยังคงดังต่อเนื่องอีกสักพัก แสงจากดอกไม้ไฟบางดอกสว่างวาบเข้ามาถึงกรอบหน้าต่างแต่ดวงตาของย่าอี๊ดในตอนนี้ไม่ได้มีไว้มองสิ่งอื่นอีก…
เพลง Fly me to the moon ยังคงบรรเลงซ้ำอีกหลายต่อหลายรอบในคืนนั้น…